เสนาฯพลิกจากดีเวลลอปเปอร์สู่LIFELONG PARTNERรับมือความผันผวน
กว่า40 ปีที่ผ่านมาของ เสนาฯ ที่พัฒนาโครงการมามากว่า 200 โครงการ ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อโลกต้องเผชิญกับความผันผวนปรับโครงสร้างองค์กรชูคอนเซ็ปต์ “แม่ยก” ร่วมทุนพันธมิตรตอบโจทย์เมกะเทรนด์ลุยมัลติเซอร์วิสสร้างรายได้ผ่านเสนาฯเจเสริมแกร่งในระยะยาว
"เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ " กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า จากความไม่แน่นอนและเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์เข้าสู่ยุค VUCA World ในฐานะผู้นำองค์กรจึงเตรียมแผนรองรับด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพื่อสามารถรองรับกับพฤติกรรมลูกค้า ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่แค่บริษัทขายบ้าน คอนโด เนื่องจากความต้องการของคนยุคใหม่มีความต้องการหลากหลายขึ้น เพราะความฝันของคนยุคนี้ "ไม่ใช่"การมีบ้านเหมือนกับคนสมัยก่อน และแนวโน้มการซื้อขายบ้าน คอนโดเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่เคยมีมูลค่าต่อปีหลายแสนล้านบาทในอีก 10-20 ปีลดลงเรื่อยๆ ดังนั้นจึงต้องปรับตัว!
จากดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการอสังหาฯเพื่อขายสู่ "A REAL ESTATE DEVELOPER TURNS AN ENSSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER" โดยการรุกขยายธุรกิจใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ใน 4 เมกะเทรนด์หลัก ได้แก่
1.ความยั่งยืน เพราะหลังจากโควิด-19 ได้เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค หันมาให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเต็มใจที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อของเพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อโลกมีความยั่งยืนมากขึ้น 2.การเข้าสู่สังคมสูงวัย 3.กระแสธุรกิจเวลเนส 4. ความเป็นเมือง ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย
โดยวางเป้าหมายและโจทย์สำคัญมุ่งสู่ธุรกิจเมกะเทรนด์โลกผ่านบริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAJ จะเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับกลุ่มเฉพาะ(Niche market) ในกลุ่มลูกค้าระดับบนรวมถึงผลักดันการขยายบริการด้านที่อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิด “To be the ultimate real estate multi-services company.” ซึ่งประกอบด้วย
1.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องตามแผนงาน ขยายฐานการพัฒนาโครงการบ้าน Niche High End ระดับราคา 15 -20 ล้านบาท วางแผนเปิดปีละ 1- 2 โครงการ นอกจากนี้ ได้ร่วมทุนกับพันธมิตร ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกัน
2.ธุรกิจบริหารนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินแบบครบวงจร โดยปัจจุบันมีโครงการที่รับบริหารนิติบุคคลโครงการ 97 โครงการ ตั้งเป้าภายใน 3 ปี ขึ้นแท่นสู่ Top 5 ครอบคลุมโครงการรับบริหารรวม 168 โครงการ
3.สถานดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะฟื้นตัว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับทางบริษัทญี่ปุ่นพัฒนาโครงการในอนาคต
4.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงาน 2 แห่ง คือ ตลาดแพรกษา และ สำเพ็ง 2
5.ธุรกิจขายบ้านมือสอง โดยทางบริษัท เสนา ชัวร์ คัดสรร รับซื้อทรัพย์บ้านมือสองและนำมาปรับปรุงตกแต่งให้อยู่ในสภาพที่ดีเพิ่มมูลค่าและพร้อมขาย ตอบโจทย์ผู้บริโภคมองหาที่อยู่อาศัยใกล้เมือง ราคาจับต้องได้ ตั้งเป้าภายใน 3 ปีสู่ Top 5 ผู้นำตลาดบ้านมือสอง
6.ธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ โดยทาง SENAJ มีแผนเข้าซื้อหุ้นบริษัทย่อยของ SENA “แอคคิวท์ เรียลตี้” เพื่อให้บริการนายหน้าขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมบริหารการขายโครงการ และให้บริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริการด้านการเช่าอสังหาฯ ภายในกลุ่มของ SENA และ SENAJ เป็นต้น
เกษรา ระบุว่า การขับเคลื่อนธุรกิจครั้งสำคัญนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจหลักและเกื้อหนุนธุรกิจในเครือ นับเป็นการส่งเสริมจุดแข็งและสร้างความโดดเด่นทางการแข่งขันในโลกธุรกิจ รวมถึงการคิดละเอียดและใส่ใจในทุกมิติทำให้ “SENA Group” และบริษัทในเครือ พร้อมยกระดับการเติบโตให้แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคต
สำหรับการปรับโครงสร้างธุรกิจของ SENAJ จะเน้นไปที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการมากขึ้น เพื่อเข้ามาเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจใน SENA Group ประกอบกับมีการใช้เงินลงทุนในการลงทุนที่ไม่มาก เหมือนกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้กับธุรกิจ ซึ่งตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะมีรายได้ประจำเข้ามาในสัดส่วน 30% และคาดว่าจะสามารถทำให้ SENAJ พลิกกลับมามีกำไรได้ภายใน 1-2 ปี
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 66 มองว่ามีความท้าทายอยู่ค่อนข้างมาก จากปัจจัยสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ที่สิ้นสฺดลงไป ทั้งการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) การขยายการผ่อนคลายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนที่อยู่อาศัยที่ยังไม่แน่ชัดว่าทางภาครัฐจะต่อมาตรการหรือไม่
"แม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัว แต่รายได้ของคนในประเทศยังไม่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง และการขอสินเชื่อสถาบันการเงินยากมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายในปีหน้าค่อนข้างมาก"