พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน!ตัดสินใจซื้อนาน-เน้นบริการ-เพื่อนบ้านดี

พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน!ตัดสินใจซื้อนาน-เน้นบริการ-เพื่อนบ้านดี

เทอร์ร่าบีเคเค เผยผลวิจัยชี้พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน!ตัดสินใจซื้อนาน ปัจจัยการเลือกซื้อบ้านเปลี่ยน เน้นบริการ- เพื่อนบ้านดีมีผลต่อการตัดสินซื้อแซงทำเล-ราคาแนะอสังหาฯต้องปรับตัว ระบุปีนี้เอสซี แอสเสทคว้าแชมป์สุดยอดแบรนด์ทรงพลังแห่งปี

แม้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ จะปรับตัวดีขึ้น แต่ปัจจัยลบในตลาดยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อที่ใช้เวลานานขึ้น ขณะที่พฤติกรรมการเลือกซื้อบ้านเปลี่ยนในหลายมิติ

โดย "ผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการซื้ออสังหาริมทรัพย์” ของ เทอร์ร่า บีเคเค ระหว่างเดือน ก.ย.-พ.ย. ที่ผ่านมา ด้วยแบบสอบถามออนไลน์ จากกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คนที่สนใจข่าวสารอสังหาฯ หรือ วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัย อายุ 18 ปีขึ้นไป มีรายได้ส่วนตัวมากกว่า 9,000 บาท/เดือน และรายได้ครัวเรือนมากกว่า 15,000 บาท/เดือน

 สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด หรือ TerraBKK  กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index) ในปีนี้ดีขึ้น ผู้บริโภคมั่นใจในสภาพเศรษฐกิจอยู่ที่ระดับ 79.3%  ถือเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะกับกลุ่มเจ้าของกิจการ เทียบกับปี 2564 อยู่ที่ระดับ 45.4%  และปี 2563 อยู่ที่ 69%  

“แทบทุกอาชีพรู้สึกว่าดีขึ้น ยกเว้นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และคนว่างงานยังรู้สึกว่าแย่ ไม่มั่นใจกับสภาวะเศรษฐกิจใน 1 ปีข้างหน้า รู้สึกว่าคุณภาพชีวิตไม่ดีเพราะยังไม่เคยเจอวิกฤติมาก่อน”
 

พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน!ตัดสินใจซื้อนาน-เน้นบริการ-เพื่อนบ้านดี

สำหรับความต้องการซื้อ (Purchase Intention) ที่อยู่อาศัยโดยภาพรวมอยู่ที่ 84% ที่เหลือ 16% ยังไม่มีแผนที่จะซื้อ แต่ระยะเวลาการตัดสินใจมากกว่า 3 ปี มีสัดส่วนถึง 33%!! รองลงมา 2-3 ปี อยู่ที่ 21% และ 1-2 ปีอยู่ที่ 16%

“แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 79.3% จาก 45.4%  ในปีก่อนหน้า แต่ผู้บริโภคก็ยังกังวลจากปัจจัยลบจากภาวะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงมาตรการแอลทีวี จึงวางแผนการเงินอย่างรัดกุม และใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยนานขึ้น รวมทั้งรอดูโครงการที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปมากขึ้น”

พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน!ตัดสินใจซื้อนาน-เน้นบริการ-เพื่อนบ้านดี

พฤติกรรมผู้บริโภคในการซื้อที่อยู่อาศัยจากข้อมูลที่เก็บมาพบว่า 84% สนใจมีแผนซื้อบ้าน 36% ซื้อบ้านเป็นหลังที่สอง 30% จะซื้อภายใน 2 ปี 41% โดยมีรายได้มากกว่า 1 แสนบาท ค้นหาผ่านสื่อ อาทิ เฟซบุ๊ก เว็บไซต์ ของผู้ประกอบการ รวมทั้งกูเกิลเสิร์ซเพื่อหารายละเอียด

โดย 41% ที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัย สนใจซื้อบ้านเดี่ยว 29% สนใจซื้อคอนโดมิเนียม ซึ่งงบประมาณที่วางไว้มากสุดระดับราคา 3-5 ล้านบาท  ปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย อันดับแรก ระบบความปลอดภัย ตามมาด้วย บริการหลังการขาย อันดับสาม สังคมเพื่อนบ้านที่ดี

“ปัจจัยการเลือกซื้อบ้านเปลี่ยนเน้นตอบสนองความต้องการทางอีโมชันนอลมากขึ้น เพราะปัจจัยทำเลและราคาไม่แตกต่างกันด้วยข้อจำกัดต้นทุนและที่ดินหายากขึ้น”

กลุ่มคนที่ต้องการซื้อบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่จะมีบ้านอยู่แล้วหนึ่งหลัง 42% มีแค่ 26% ที่ไม่เคยเป็นเจ้าของบ้านเดี่ยว แต่คนที่ซื้อคอนโดมิเนียมใหม่ไม่เคยเป็นเจ้าของมีสัดส่วนมากถึง 32% คนซื้อทาวน์เฮ้าส์จะซื้อบ้านเดี่ยวอยู่แล้วหนึ่งหลังหรือคอนโดมิเนียม มีสัดส่วน 51%

สะท้อนว่า กลุ่มคนที่ซื้อบ้านส่วนใหญ่ “ไม่ใช่” คนที่ซื้อเป็นหลังแรก แต่เป็นการซื้อหลังที่สอง จากกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อส่งผลให้ตลาดบ้านเดี่ยวเติบโตต่อเนื่อง ดังนั้นในปีหน้า ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้มาตรการแอลทีวี จะส่งผลกระทบต่อคนกลุ่มนี้ในการขอสินเชื่อจากธนาคาร!!

ปัจจัยด้านความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (WELL-BEING) ทุกระดับลูกค้าสนใจมากที่สุด คือ ระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและทันสมัย ตามด้วย การจัดการระบบสาธารณูปโภคในโครงการ (นำสายไฟลงดิน, ระบบระบายน้ำ, ระบบจัดการขยะ) และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในโครงการ จากมาตรฐานที่มีอยู่ตามจัดสรร 5% ไม่พอในสายตาของลูกค้า ถัดมาจะเป็นเรื่องการประหยัดพลังงาน สมาร์ทโฮม อีวีชาร์จเจอร์ คอมมูนิตี้มอลล์

พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน!ตัดสินใจซื้อนาน-เน้นบริการ-เพื่อนบ้านดี

สำหรับพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละเจนเนอเรชันแตกต่างกันไป เจน Z (อายุ 18-26 ปี) มองว่า บ้าน เป็น “คอมฟอร์ทโซน” นิยมซื้อคอนโดมิเนียมมากกว่าบ้าน ราคา 2-5 ล้านบาท ซึ่งผลสำรวจ 77%  ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง 53% ต้องการสังคมที่ดีขึ้น/ปลอดภัยขึ้น 43% ซื้อไว้พักอาศัยในวันทํางาน

ส่วน เจน Y (อายุ 27-40 ปี) นิยมซื้อบ้านมากกว่าคอนโดมิเนียม ราคา 3-7 ล้านบาท  โดย 46% ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง 39% ต้องการสังคมที่ดีขึ้น/ปลอดภัยขึ้น 30% ที่อยู่อาศัยเดิมคับแคบ

ในกลุ่มบ้านแนวราบทำเลที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก คือ รังสิต-ลำลูกกา, บางใหญ่-บางบัวทอง และบางพลี  ทำเลคอนโดมิเนียมที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก คือ จตุจักร-ประชาชื่น, อ่อนนุช-บางนา และพญาไท-อารีย์

เจน X (อายุ 41-55 ปี) นิยมซื้อบ้านมากกว่าคอนโดมิเนียม ราคา 3-7 ล้านบาท ซึ่ง 36% ต้องการสังคมที่ดีขึ้น/ปลอดภัยขึ้น 29% ที่อยู่อาศัยเดิมคับแคบ 29% ซื้อเพื่อลงทุน/เก็งกําไร/ให้เช่า

และพฤติกรรมของผู้บริโภคเจนเนอเรชั่น Baby Boomer (อายุ 55 ปีขึ้นไป) นิยมซื้อบ้านมากกว่าคอนโดมิเนียม ราคา 3-7 ล้านบาท ซึ่ง 41% ต้องการสังคมที่ดีขึ้น/ปลอดภัยขึ้น 35% ต้องการอยู่ใกล้ BTS/MRT 27% ซื้อเพื่อเป็นของขวัญ/มรดก 27% ต้องการห้องนอนล่างสําหรับผู้สูงอายุ

สุมิตรา กล่าวต่อว่า ผลสำรวจ The Most Powerful Brand Real Estate Brand 2022 หรือ สุดยอดแบรนด์ทรงพลังแห่งปี 2565 บริษัทที่มีความโดดเด่นในใจผู้บริโภค คือ “เอสซี แอสเสท” ขณะที่ “แสนสิริ” คว้า Eternal Award in Real Estate-แบรนด์ทรงพลังต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน ส่วน “แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” รับรางวัล Credence Award in Real Estate-แบรนด์ผู้กำหนดบรรทัดฐานคุณภาพ และสร้างฝันของลูกค้าได้เป็นจริงสูงสุด

ขณะที่รางวัลเกียรติยศ (Honorary Award) ให้กับแบรนด์ที่มีผลงานดีเด่น ได้แก่ เสนาฯ - Excellence in Cater to Economy Group เป็นแบรนด์ตอบโจทย์คนชั้นกลาง และ MQDC ได้รับรางวัล Excellence in Green Development เป็นแบรนด์ที่พัฒนามุ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

“เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ฉะนั้นแบรนด์ต้องใกล้ชิดลูกค้าให้มากที่สุด เพื่อรู้ความต้องการลูกค้าก่อนที่ลูกค้าจะรู้ว่าตัวเขาต้องการอะไร เพื่อพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้า”