เจาะกลยุทธ์การเติบโต "เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม" เสริมแกร่งตลาดอสังหาฯ ปี 66
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) งัด 4 กลยุทธ์โตก้าวกระโดด เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิมสู่การเติบโตที่มั่นคงและแข็งแกร่งบนสมรภูมิใหม่ วางแผนเปิดตัว 11 โครงการ มูลค่า 17,500 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) หนึ่งในกลุ่มธุรกิจของ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ "FPT" ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยได้ขยับตัวครั้งสำคัญ โดยก้าวต่อไปนับจากนี้ ธุรกิจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งการขยายโครงการแนวราบทุกเซกเมนต์ พร้อมบุกตลาดคอนโดมิเนียมเป็นครั้งแรก ที่เชื่อว่าจะสามารถเขย่าวงการพร้อมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้อุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างน่าจับตา
แสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด หัวเรือใหญ่ฉายภาพทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่า มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการเศรษฐกิจของภาครัฐ การลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคเอกชน การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น และนโยบายเปิดประเทศที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา คาดว่าปีนี้จะมีจำนวนสูงกว่า 20 ล้านคน ซึ่งภาคการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการผลักดันผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัว 3 - 3.5% โดยเฉพาะในหัวเมืองหลักกระเตื้องขึ้นจากการกลับมาของการท่องเที่ยว พร้อมทั้งนักลงทุนต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามา ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง
"ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 จะขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจ โครงการแนวราบยังมีความต้องการสูง โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีและคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทที่เริ่มกลับมา ซึ่งสอดรับกับแผนธุรกิจของบริษัทฯ ปีนี้ที่จะขยายพอร์ตบ้านเดี่ยวทุกระดับราคา เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงขยายพอร์ตคอนโดมิเนียมจับกลุ่มลูกค้าวัยทำงาน" แสนผิน กล่าว
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) เดินหน้าทรานส์ฟอร์มสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อที่อยู่อาศัยครั้งใหญ่ก้าวเข้าสู่ความแข็งแกร่งในทุกมิติภายใต้วิสัยทัศน์ "คิดใหม่ ทำใหม่ (ให้) ใหม่เสมอ" เพื่อสร้างผลตอบแทนบนรายได้ที่เติบโตสม่ำเสมอ
"ปีนี้ตั้งเป้ายอดขายรอรับรู้รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนที่มีรายได้ 11,392 ล้านบาท โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่า 17,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ ทาวน์โฮม 2 โครงการ บ้านแฝด 1 โครงการ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ ขณะเดียวกันเตรียมงบประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาทในการซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่"
จากเป้าหมายที่วางไว้ถูกขับเคลื่อนผ่าน 2 กุญแจสำคัญในการสร้างธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งและมั่นคงคือ "เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม" พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและมีนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และ "เติบโตบนสมรภูมิใหม่" สร้างโอกาสใหม่สู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุมทุกความต้องการ พร้อมสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยให้แตกต่าง
เมื่อเจาะลึกถึงการเสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิมและเติบโตบนสมรภูมิใหม่ พบว่ามี 4 กลยุทธ์สำคัญ ดังนี้
กลยุทธ์ 1 เปิดตัวโครงการบ้านในทุกระดับราคา และเพิ่มสัดส่วนบ้านเดี่ยวทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี หวังเจาะกลุ่มผู้มีรายได้สูง เพราะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย แต่ยังคงความเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮม โดยเน้นพัฒนาแบบบ้านที่ปรับฟังก์ชันการใช้งานให้เหมาะกับลูกค้า รวมถึงพัฒนาบ้านแฝดที่ออกแบบเทียบเท่าบ้านเดี่ยว เน้นทำเลใกล้เมืองในราคาจับต้องได้
กลยุทธ์ 2 เดินหน้าจัด Big Campaign กระตุ้นยอดขายตลอดปี 2566 ซึ่งวางแผนจัดแคมเปญทางการตลาดและโปรโมชันพิเศษตลอดทั้งปี เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค พร้อมมีแผนสร้างการรับรู้ และจดจำแบรนด์สินค้าของบริษัทผ่านสื่อโฆษณาอีกด้วย
กลยุทธ์ 3 รุกเข้ามาทำตลาดคอนโดมิเนียมเป็นครั้งแรก เพื่อเพิ่มพอร์ตคอนโดมิเนียม ด้วยการพัฒนาคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ที่มีความสูงไม่เกิน 8 ชั้น เพราะหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ที่มีสัดส่วนความต้องการเพิ่มขึ้น โดยจะเน้นทำเลในเมืองใกล้รถไฟฟ้า ใกล้ห้างสรรพสินค้า
การเติบโตของกลยุทธ์นี้มี 2 แนวทางคือ การเติบโตแบบออแกรนิคจากการพัฒนาโครงการขึ้นมาเองโดยเน้นทำเลในเมืองใกล้รถไฟฟ้า เช่น ลาดพร้าว รัชดาภิเษก รามอินทรา และฝั่งธนบุรี ระดับราคา 3-5 ล้านบาท นำร่องด้วยโครงการแรกกับแบรนด์ "KLOS Ratchada" (โคลส รัชดา) หลังศูนย์การค้าเดอะสตรีท รัชดา มีจำนวน 100 กว่ายูนิต ขนาด 24-35 ตารางเมตร ราคาขายอยู่ที่ 1.3 แสนบาทต่อตารางเมตร คาดว่าจะเปิดตัวช่วงกลางปี 2566 รวมถึงมีแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์ระดับซูเปอร์ลักชัวรี บนที่ดินขนาด 2 ไร่ ในย่านหลังสวน
อีกหนึ่งแนวทางคือ การเติบโตแบบ Inorganic ผ่านกระบวนการควบรวมหรือการซื้อกิจการ ซึ่งจะทำให้ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) เติบโตแบบก้าวกระโดด
กลยุทธ์ 4 ขยายพอร์ตโครงการบ้านเดี่ยวระดับระดับลักชัวรี และระดับซูเปอร์ลักชัวรี ระดับราคา 60-150 ล้านบาท ใน 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ เดอะ โรยัล เรสซิเดนซ์ จำนวน 2 โครงการ ที่ถนนเกษตร - นวมินทร์ ซึ่งเป็นเฟสต่อเนื่องและบนทำเลสาทร - กัลปพฤกษ์ นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์อัลพีน่า และเดอะ แกรนด์ เน้นเจาะกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่ตอบโจทย์ความต้องการ และปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้ตามไลฟ์สไตล์
แน่นอนว่าการทรานส์ฟอร์มสู่การสร้าง Disruptive Growth ของ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) ครั้งนี้ จะสามารถสร้างการเติบโตที่มั่นคงและแข็งแกร่ง เพื่อรองรับการแข่งขันและความผันผวนทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี