ฟัลครัมฯลุย2บิ๊กโปรเจกต์แนวราบเจาะเฟิร์สจ็อบเบอร์

ฟัลครัมฯลุย2บิ๊กโปรเจกต์แนวราบเจาะเฟิร์สจ็อบเบอร์

ฟัลครัมฯ มั่นใจเศรษฐกิจไทย เดินหน้าลงทุนอสังหาฯ ครึ่งปีหลังเร่งสปีดผุดแนวราบ 2 โครงการใหญ่ปักหมุดย่าน “สมุทรปราการ- นครศรีธรรมราช” มูลค่า 6.1 พันล้าน หวังเจาะเรียลดีมานด์กลุ่มเฟิร์สจ็อบเบอร์

นายดีภัค มิชรา ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท ฟัลครัม เวนเจอร์ส เอเชีย จำกัด กล่าวว่า แม้สถานการณ์การบริโภคในประเทศปัจจุบันยังคงชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านแต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในอีก 6 เดือนจากนี้ และภายในเวลา 1 ปีครึ่งทุกอย่างจะฟื้นกลับมาเหมือนเดิมก่อนโควิด

“สถานการณ์โควิดส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว จำนวนนักท่องเที่ยวหายไป โดยเฉพาะคนจีนที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สร้างรายได้หลักให้กับประเทศไทย แม้ปัจจุบันเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น แต่ยังคงต้องใช้เวลา คาดว่าหลังจากมีรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้งเข้ามาบริหารทุกอย่างดีขึ้น”
 

สำหรับ ตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยเป็นตลาดคงที่ (stable) เนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) และระบบสถาบันการเงินของประเทศไทยมั่นคง ขนาดเศรษฐกิจใหญ่น่าลงทุนเมื่อเทียบกับประเทศเวียดนาม รวมทั้งมีกฎระเบียบที่เอื้อนักลงทุน  แรงงานมีทักษะ ฟัลครัมฯ จึงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ด้วยการพัฒนาโครงการแนวราบ 2 โปรเจกต์ใหญ่ ใน จ.สมุทรปราการ และ จ.นครศรีธรรมราช มูลค่ารวม 6,100 ล้านบาท เจาะเรียลดีมานด์ในกลุ่มคนเริ่มทำงาน (First Jobber)

ฟัลครัมฯลุย2บิ๊กโปรเจกต์แนวราบเจาะเฟิร์สจ็อบเบอร์

ทั้งนี้ ช่วง 9-10 เดือนที่ผ่านมา บริษัทแบกรับภาระต้นทุน แต่ขณะนี้พร้อมแล้วที่ลงทุนพัฒนาโครงการใหม่หลังจากพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวโครงการพานารา บางนา-สุวรรณภูมิ มูลค่า 1,250 ล้านบาท และ พานารา เทพารักษ์ มูลค่า 1,550 ล้านบาท ทยอยสร้างเป็นเฟสๆ ในระดับราคาเริ่มต้น  7-19 ล้านบาทต่อยูนิต

นายมิชรา ประเมินว่า 6 -8 เดือนข้างหน้าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นดีมานด์จะกลับมาทำให้ตลาดอสังหาฯฟื้นตัวบริษัท จึงได้วางแผนลงทุนพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์ภายใต้แบรนด์อโนนา มูลค่า 3,300 ล้านบาท ระดับราคา 3-4 ล้านบาท บนพื้นที่ขนาด 100 ไร่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ คาดเปิดตัวเดือน ก.ย.นี้ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าเริ่มทำงานที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ย่านสมุทรปราการที่มีนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก

ขณะเดียวกันมีแผนที่จะลงทุนพัฒนาโครงการแนวราบในจ.นครศรีธรรมราช สงขลา กระบี่ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ โดยเฉพาะใน จ.นครศรีธรรมราช เป็นโครงการพานารา ขนาดใหญ่ มูลค่า 2,800 ล้านบาท มีพื้นที่ขนาด 70 ไร่ มูลค่า 400 ล้านบาท อยู่ติดกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล คาดเปิดตัวเดือน ต.ค.นี้

โดยผลการสำรวจของฟัลครัมฯ พบว่า อัตราดูดซับใน จ.นครศรีธรรมราช 1 เดือนจะสามารถขายได้ 9-10 หลัง แต่ในกรุงเทพฯ จำนวนประชากรมากกว่าแต่อัตราการดูดซับเท่ากัน แต่ราคาขายโครงการของฟัลครัมฯ ในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 7 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่ในนครศรีธรรมราช ราคาอยู่ระดับ 3-4 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรียลดีมานด์ที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง ขณะที่กรุงเทพฯ จะมีจำนวนประชากรแฝงสูงทำให้ดีมานด์คนซื้อคอนโดมากกว่าบ้านแนวราบจึงเป็นเหตุผลทำให้ลงทุนพัฒนาโครงการในจ.นครศรีธรรมราช

 “ปีนี้เราโฟกัสการทำตลาดแนวราบเป็นหลักและโรงแรมที่มีอยู่ก่อนยังไม่พัฒนาคอนโดมิเนียมเพราะมีโครงการที่รอการพัฒนาอยู่ในมือจำนวนมาก แต่ในปีหน้าอาจจะเริ่มขยายไปทำคอนโดมิเนียมเพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ อย่างไรก็ตามในฐานะนักลงทุนอยากให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจ”