เมเจอร์ฯหวั่นปัจจัยการเมือง! วืดผุดคอนโดหรูรุกพอร์ตแนวราบเสริมแกร่ง
ปัจจัยเสี่ยงสถานการณ์การเมืองที่เข้ามากลายเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเคลื่อนธุรกิจ หนึ่งในนั้น คือ เมเจอร์ฯ
ที่ต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องด้วยการรุกพอร์ตแนวราบเร่งเสริมแกร่งรายได้ เหตุหวั่นปัจจัยการเมือง! วืดผุดคอนโดหรู2โครงการมูลค่า8พันล้าน
แม้ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมา ตลาดคอนโดมิเนียมจะชะลอตัว! แต่หลังจากโควิด-19 คลี่คลาย “คอนโดหรู” สามารถฟื้นตัวได้ดีกว่าเซ็กเมนต์อื่นๆ ด้วยผู้บริโภคตลาดบนที่มีกำลังซื้อ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ น้อยกว่ากลุ่มอื่น ทำให้ดีเวลอปเปอร์เริ่มพัฒนาโครงการใหม่ หนึ่งในนั้น คือ “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ทว่า ณ เวลานี้ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงสถานการณ์การเมืองที่เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเคลื่อนธุรกิจที่ต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้อง
สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลังนี้ มั่นใจว่าที่อยู่อาศัยแนวราบและคอนโดระดับลักชัวรียังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการระดับบน ที่ลูกค้ากลุ่มหลักมีกำลังซื้อแข็งแรง ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
“ลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการหาที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อการขยับขยายครอบครัวไปอยู่ในพื้นที่ที่มีคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น สามารถรองรับกับไลฟ์สไตล์ของสมาชิกในครอบครัวที่หลากหลาย”
จากแนวโน้มดังกล่าว ไตรมาส 4 นี้ บริษัทมีแผนลงทุนพัฒนาคอนโดลักชัวรี 2 โครงการ มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท บนทำเลพร้อมพงษ์ มูลค่า 2,300 ล้านบาท ราคา 300,000 บาทต่อตร.ม. และโครงการมาร์ควิส พญาไท มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ระดับราคากว่า 200,000 บาทต่อตร.ม.
ทั้งนี้ ซัพพลายคอนโดลักชัวรีลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ดีมานด์ของตลาดยังคงมีอยู่ทั้งคนไทยและต่างชาติเริ่มกลับมาไม่ว่าจะเป็นคนจีน เมียนมา ฯลฯ จากผลพวงของตลาดท่องเที่ยวที่กลับมาแล้ว
พร้อมกันนี้ มีความเป็นไปได้ในการดึงพันธมิตรจากประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และอังกฤษ เข้ามา “ร่วมทุน” พัฒนาโครงการคอนโดภายใต้แบรนด์ใหม่และแบรนด์เดิมของ เมเจอร์ฯ
“ปัจจัยเสี่ยงของการพัฒนาโครงการคอนโดในปีนี้ เป็นปัจจัยในประเทศที่เกิดจากสภาพเศรษฐกิจ ความพร้อมของตลาด กำลังซื้อ ความรู้สึกของผู้บริโภค จำนวนนักท่องเที่ยวที่กลับเข้ามา รวมทั้งสถานการณ์การเมือง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเปิดหรือไม่เปิดโครงการคอนโด”
ปัจจุบันผลการดำเนินงานของเมเจอร์ฯ ยังไม่ฟื้นกลับมาเทียบเท่ากับช่วงก่อนโควิด ถือว่าอยู่ระหว่างการฟื้นตัว คาดต้องใช้เวลา 3 ปี ประกอบกับบริษัทหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม เพื่อเพิ่มการรับรู้รายได้เร็วขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลังปีนี้ไปจนถึงปี 2567
"แทนการรอรายได้จากคอนโดที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี จึงเป็นเหตุผลทำให้เมเจอร์ฯ เพิ่มพอร์ตแนวราบมากขึ้น เพื่อให้มีรายได้สม่ำเสมอ หวังเพิ่มสัดส่วนแนวราบ 30% ภายใน 3 ปี จากเดิมมีสัดส่วน 10% อีก 90% เป็นคอนโด"
ล่าสุดบริษัทพัฒนาโครงการแนวราบแบรนด์ “เมย์ฟีลด์” ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกวัย ภายใต้สโลแกน “HOME IS WHERE YOUR HEART IS” แนวคิดบ้านที่เกิดจากการเชื่อมโยงธรรมชาติ ชีวิต ครอบครัว ที่พักอาศัย ให้เป็นบริบทแห่งนิยามใหม่ของการอยู่อาศัย ดีไซน์เน้นความอบอุ่น ผ่อนคลาย โล่งสบาย ปลอดภัย รองรับความต้องการของผู้บริโภคหลังโควิด ต้องการอยู่บ้านมากกว่าคอนโด ส่งผลให้ตลาดแนวราบเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะบ้านหรู
โครงการเมย์ฟีลด์ 3 โครงการมูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท ประกอบด้วย เมย์ฟิลด์ ปิ่นเกล้า เป็นพรีเมียม ทาวน์โฮม จำนวน 68 ยูนิตมูลค่า 1,000 ล้านบาท สไตล์เออร์เบิน โมเดิร์น คลาสสิค มาพร้อมนวัตกรรมช่องลมระบายอากาศ ราคาเริ่มต้น 14.5 ล้านบาท เปิดตัวไตรมาส 3 ส่วนโครงการเมย์ฟิลด์ เลน รัชดา-ลาดพร้าว ราคาเริ่มต้น 39.9ล้านบาท จำนวน 11 ยูนิต มูลค่า 520 ล้านบาท และ เมย์ฟิลด์ รามอินทรา-คู้บอน ราคาเริ่มต้น 13.9 ล้านบาท จำนวน 167 ยูนิต มูลค่า 2,500 ล้านบาท เปิดตัวไตรมาส 4 ปีนี้
สำหรับ ยอดขายครึ่งแรกปีนี้ราว 1,500 ล้านบาท จากเป้าหมายวางไว้ที่ 7,000 ล้านบาท มาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง คาดมียอดโอน 5,000 ล้านบาท