แอสเซทไวส์ หวังครึ่งปีหลังจัดตั้งรัฐบาลสร้างความมั่นใจดันยอดขายโต

แอสเซทไวส์ หวังครึ่งปีหลังจัดตั้งรัฐบาลสร้างความมั่นใจดันยอดขายโต

แอสเซทไวส์ หวังครึ่งปีหลังจัดตั้งรัฐบาลภาพรวมธุรกิจอสังหาฯโตกว่าครึ่งปีแรก คนเกิดความมั่นใจจับจ่ายใช้สอยผนวกกับปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยว อัตราเงินเฟ้อลดลง เล็งรับรู้รายได้7โครงการมูลค่า 1หมื่นล้านหลังผลประกอบการครึ่งแรกปี66 กวาดรายได้3พันล้าน

นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง 2566 คาดว่าภายหลังจัดตั้งรัฐบาลภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะประชาชนเกิดความมั่นใจ อีกทั้งมีปัจจัยบวกสนับสนุนอยู่ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากภาคการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยปรับลดลงอยู่ในกรอบเป้าหมาย ประกอบกับผู้บริโภคเริ่มคลายความกังวลเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 

เนื่องจากภายหลังการประชุมคณะกรรมการการเงิน หรือ กนง.เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2566 มีมติขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 2.25% จากการที่เศรษฐกิจไทยมีทิศทางการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าไม่น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกจนถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคประเมินความสามารถในการซื้อบ้านของตัวเองได้ชัดเจนขึ้นและกล้าจับจ่ายใช้สอย
 

ในครึ่งปีหลังบริษัทจะมีโครงการทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จใหม่พร้อมรับรู้เป็นรายได้รวม 7 โครงการ มีมูลค่า 10,950 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่แล้วเสร็จในไตรมาส 3/2566 จำนวน 3 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 3,950 ล้านบาท ได้แก่โครงการ โมดิซ รามคำแหง , แอทโมซ พอร์ตเทรต ศรีสมาน, แอทโมซ ซีรีน ศรีราชา  และไตรมาส 4/2566 จำนวน 4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท ได้แก่โครงการ แอทโมซ คาแนล รังสิต , แอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช , แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี , เคฟ ทาวน์ โคโลนี จากแผนงานดังกล่าว บริษัทจึงมั่นใจว่าเป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้ในปีนี้ที่ 7,200 ล้านบาท จะสามารถทำได้อย่างแน่นอน

แอสเซทไวส์ หวังครึ่งปีหลังจัดตั้งรัฐบาลสร้างความมั่นใจดันยอดขายโต

ภาพรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2566 (ม.ค.-มิ.ย.) มีรายได้รวม  3,015 ล้านบาทกำไรสุทธิ 440 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการส่งมอบห้องชุดของโครงการคอนโดมิเนียมโมดิซ ลอนซ์ คอนโดสูง 36 ชั้น ติดรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต  463 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท และโครงการเคฟ เอวา คอนโดชั้น 5 อาคาร 1,278 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการลงทุนจากโครงการแอทโมซ ทรอปิคานา บางนา ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนที่บริษัทถือหุ้น 51% โดยก่อสร้างเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา 

ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทฯ มียอดขายรวมถึง 7,169 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 7  แห่ง มูลค่าโครงการรวม 11,860 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการเคฟ ป็อป ศาลายา  , เคฟ โคโค่ บางแสน , แอทโมซ พาลาซิโอ ลาดพร้าว-วังหิน, โมดิซ วอลท์ เกษตร-ศรีปทุม , เคฟ เอ็มบริโอ รังสิต , เคฟ ทาวน์ ไอส์แลนด์ และแอทโมซ ซีซั่น ลาดกระบัง  

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีแรก 2566 เติบโตสอดคล้องไปกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากผลกระทบของสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19  แต่เนื่องจากบริษัทฯ มีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จใหม่ และทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพียง 3 โครงการ ประกอบกับภาพรวมตลาดยังมีปัจจัยลบ อาทิ ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงิน การยกเลิกมาตรการ LTV (Loan-to-Value: LTV) ความไม่แน่นอนทางการเมือง

ทำให้ภาพรวมรายได้ครึ่งปีแรกอาจไม่หวือหวานัก อย่างไรก็ตามความต้องการที่อยู่อาศัยในกลุ่มคนทำงานที่เป็นเรียลดีมานด์ยังคงมีอยู่ อาทิ ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯ สำหรับคนทำงานในเมืองที่ต้องการการเดินทางที่สะดวก ใกล้เมือง ใกล้แหล่งงาน รวมถึงความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทคอนโดฯ เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากของกลุ่มผู้มีเงินเย็นยังมีอยู่เช่นกัน