เสนาฯแก้เกมราคาที่ดินพุ่งกำลังซื้อหดผุดคอนโดแทนทาวน์เฮ้าส์โซนรามอินทรา

เสนาฯแก้เกมราคาที่ดินพุ่งกำลังซื้อหดผุดคอนโดแทนทาวน์เฮ้าส์โซนรามอินทรา

ห้วงเวลานี้ปัจจัยลบการพัฒนาโครงการอสังหาฯหนีไม่พ้นราคาที่ดินพุ่งขึ้นสวนทางกับกำลังซื้อลดลง! เสนาฯ พลิกกลยุทธ์แก้เกมผุดคอนโดแทนทาวน์เฮ้าส์ในย่านรามอินทรานำร่องเพื่อเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง

เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า จากราคาที่ดินแพงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนราคาการพัฒนาโครงการอสังหาฯ เพิ่มขึ้น รวมทั้งการที่ดอกเบี้ยขึ้นทุกๆ1% มีผลต่อราคาขาย9% สวนทางกับกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง หรือโตไม่ทันราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทำเลใจกลางเมือง ดังนั้นทางเสนาฯ จึงปรับกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ด้วยการพัฒนาโครงการคอนโดระดับราคา1ล้านต้นๆออกมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า แทนเป็นทาวน์เฮ้าส์ย่านรามอินทราในปีหน้า

ทั้งนี้เนื่องจากต้นทุนราคาที่ดินสูงขึ้นทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์ในราคา2-3ล้านบาทไม่ได้อีกต่อไปต้องขยับขึ้น4-5ล้าน ซึ่งในแต่ละทำเลไม่เท่ากันดังนั้นการพัฒนาโครงการคอนโดจึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์กำลังซื้อผู้บริโภค ประกอบกับการเติบโตของทำเลโซนรามอินทราที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น  การคมนาคมที่มีรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่จะเปิดให้บริการ และเป็นโซนที่เชื่อมต่อถนนสายหลักและสายรองที่สำคัญ รวมถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกรายล้อมอย่างห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาลและสถานศึกษาทำให้รามอินทรากลายเป็นทำเลที่น่าสนใจทั้งในปัจจุบันและอนาคต 
 

"จุดเด่นของโครงการมีทั้งเรื่องทำเลและห้องซึ่งมีขนาดและราคาที่คุ้มค่า เพราะลูกค้าจะได้ห้องไซส์ใหญ่ในราคาไซส์เล็ก เริ่มต้นกว่า 1.ล้านบาท อยู่ระหว่างการหาซื้อที่ดินเพิ่มเติมคาดว่า จะมี3โครงการในโซนรามอินทรา” 

ขณะเดียวกันบริษัทมีการพัฒนาโครงการคอนโดใกล้รถไฟฟ้า ที่มีระดับราคากว่า 100,000 บาทต่อตร.ม.เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและต้องการคอนโดติดรถไฟฟ้าออกมานำตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม
 

ทั้งนี้เนื่องจากดีมานด์ของตลาดคอนโดเริ่มกลับมาแล้ว หลังจากหยุดชะงักไปช่วงเกิดโควิด-19  โดยบริษัทสนใจที่ขยายตลาดในทำเลรถไฟฟ้าสายสีเหลือง /ลาดพร้าวและรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ได้รับอานิงส์จากราคาที่ลดลงเหลือ 20 บาท ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ประกอบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตคนอยู่นี้เปลี่ยนไปไม่จำเป็นต้องทำงานที่ออฟฟิศ

นอกจากนี้ ในไตรมาส4/2566 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการคอนโดอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม9,000 ล้านบาท ประกอบกับด้วยโครงการ นิช ไพรด์ เอกมัย ในทำเลเอกมัย,นิช โมโน ทำเลบางโพ และ เฟล็กซี่ ทำเลเจริญนคร ซึ่งเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดมาตั้งแต่ช่วงเกิดโควิด-19 ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายในปี 2566 ประมาณ 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มียอดขายแล้วเกือบ 10,000 ล้านบาท