คนรุ่นใหม่นิยมเช่ามากกว่าซื้อหนุนเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์บูมรับดิจิทัลโนแมด

คนรุ่นใหม่นิยมเช่ามากกว่าซื้อหนุนเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์บูมรับดิจิทัลโนแมด

เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตอย่างเห็นได้ชัดเจนหลังโควิด-19 จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัว ส่งผลให้พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ทั่วโลกหันมานิยมเช่ามากกว่าซื้อ โดยเฉพาะดิจิทัลโนแมดกลายเป็นโอกาสของ “เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์” ในภูเก็ต ระยอง พัทยา กรุงเทพฯ

ลูก้า ดอตติ  ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ โครงการอพาร์ตเมนต์ ภายใต้แบรนด์ โฮม่า (HOMA) กล่าวว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยที่สร้างประสบการณ์มากขึ้น ความต้องการเป็นเจ้าของลดลง สังเกตได้จากข้อมูลการสำรวจในสหรัฐ พบว่าการซื้อบ้านลดลงต่อเนื่องในทุกเจนเนอเรชั่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กรุ่นใหม่ต้องการหาประสบการณ์ด้วยการลองเช่าอยู่มากกว่าซื้อ ในช่วงระยะเวลา 10-15ปี จึงเป็นแนวคิดในการพัฒนาอพาร์ตเมนต์ โฮม่า

“คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันในสังคมมากขึ้นหลังโควิด หลายคนทำงานที่บ้าน หรือทำงานที่ไหนก็ได้โดยเฉพาะกลุ่มดิจิทัลโนแมดเพิ่มขึ้นถึง 112% แม้สถานการณ์จะกลับมาปกติแล้ว”

โดย โฮม่า ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ในการเช่าเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่แตกต่างจากคอนโดมิเนียม หรือ โรงแรม ด้วยการแก้ “Pain Point” ของลูกค้า ให้บริการ 2 รูปแบบ คือ ให้เช่าระยะยาว และเปิดให้เช่ารายวัน เหมือนโรงแแรมแต่ราคาถูกกว่าโรงแรมเพื่อดึงคนเข้ามาทดลองใช้บริการ ซึ่งมีบริการเหมือนกับโรงแรม ใน “ราคาที่จับต้องได้” ค่าเช่าเริ่มต้น 17,000 บาทต่อเดือนเทียบกับคอนโดมิเนียมเริ่มต้นถูกกว่า 1,000 บาท แต่ต้องจ่ายทุกอย่างทั้งบิลค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าส่วนกลาง ฯลฯ เฉลี่ยต่างกัน 25%

คนรุ่นใหม่นิยมเช่ามากกว่าซื้อหนุนเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์บูมรับดิจิทัลโนแมด

สำหรับโปรเจกต์แรกของโฮม่าอยู่ที่ “ภูเก็ต ทาวน์” ปรากฏอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงถึง 87% มีทั้งกลุ่มชาวต่างชาติและคนไทยที่อยู่นอกพื้นที่ภูเก็ตเข้ามาทดลองเช่าพัก 3-6 เดือน หลังจากนั้นเปลี่ยนมาเช่ารายปี ปัจจุบันในพอร์ตของโฮม่ามีลูกค้าสัญญาเช่ารายปี 70% และสัญญารายเดือน 10-15% ส่วนที่เหลือจะเป็นการเช่ารายวัน โดยลูกค้าที่เข้ามาพัก มีทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ อาทิ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ยุโรป

ส่วนโครงการโฮม่า “ศรีราชา” มีลูกค้าญี่ปุ่นเป็นหลักจะมีบริการ ออนเซ็น กอล์ฟส่วนโฮม่า“เชิงทะเล” ที่ภูเก็ตกำลังจะเปิดจะมี โค-เวิร์กกิ้งสเปซ ที่ใหญ่กว่าภูเก็ตทาวน์ แล้วยังมี Pickleball และ Barbecue area เพื่อรองรับลูกค้าชาวยุโรป ซึ่งแต่ละโครงการจะมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกัน


 

ปัจจุบันโฮม่าประเทศไทยมี 4 โครงการที่สร้างแล้วเสร็จและกำลังก่อสร้าง ประกอบด้วย โฮม่า “ภูเก็ตทาวน์” จำนวน 505 ยูนิตลงทุน 1,400 ล้านบาท เปิดบริการตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564 โครงการโฮม่า “ศรีราชา” จำนวน 100 ยูนิต ลงทุนรีโนเวท 371 ล้านบาท เปิดบริการไตรมาส 4 ปี 2565 โครงการโฮม่า “เชิงทะเล” จำนวน 423 ยูนิต ลงทุน 1,500 ล้านบาท คาดเปิดบริการเดือน ม.ค.2567 และ โครงการโฮม่า “ฉลอง เบย์” ภูเก็ต จำนวน 104 ยูนิต ลงทุน 479 ล้านบาท รวม 4 โครงการ มีมูลค่า 2,600 ล้านบาท

ดอตติ ระบุว่า ในภูเก็ต โฮม่า มี 3 โครงการถือว่าครอบคลุมความต้องการในพื้นที่แล้วจึงวางแผนขยายธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ 2 โครงการ จำนวน 730 ยูนิต ในกรุงเทพฯ อนาคตขยายเพิ่มอีก 3 โครงการ รองรับกลุ่มดิจิทัลโนแมดจากต่างประเทศที่เข้ามาเพราะประเทศไทย ติดอันดับ 1 ใน 10 ที่ดิจิทัลโนแมดทั่วโลกเลือกไทยเป็นจุดหมาย เป็นอันดับ 2 รองจากเม็กซิโก 

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนลงทุนในจังหวัดระยอง ต่อยอดจาก “ศรีราชา” รวมทั้งแผนเข้าไปลงทุนในเอเชียแปซิฟิก ทั้ง อินโดนีเซีย เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ ภายใต้แบรนด์โฮม่าในอนาคต

โฮม่า เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2564 ตั้งเป้าหมายเฟสแรกสิ้นสุดปี 2568 จะมีห้องเช่า 1,132 ยูนิต และภายในปี 2571 จะเพิ่มขึ้นอีก 1,000 ยูนิต และอีก 3 ปีถัดไปจะมีเพิ่ม 1,000 ยูนิต  ระยะยาวจะมีทั้งหมด 5,000 ยูนิต โดยใช้งบลงทุน 10,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการในกรุงเทพฯจะใช้วิธี Take Over เพราะต้องการโลเคชั่นที่ตอบโจทย์ผู้เช่า

“ไม่จำเป็นต้องเป็น ไพร์ม โลเคชั่น หรือ ซีบีดี กลางใจเมือง แต่ต้องเดินทางสะดวก เพราะกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มยังเจนเนอเรชั่น เริ่มทำงานครั้งแรก ซึ่งอาจไม่ได้ใช้รถส่วนตัวในการเดินทาง หากเป็นที่ดินเปล่าจะมีราคาแพงและอาจติดเงื่อนไขในการก่อสร้าง แต่หากเป็นการซื้อโครงการที่มีใบอนุญาตเดิมมาจะง่ายและเร็วกว่า คาดว่า 5 ปีต่อจากนี้จะสามารถนำโฮม่าเข้ากอง REITs ได้”