โนเบิลสบช่องต่างชาติหนีการเมืองซื้ออสังหาฯไทยคาดขายปีนี้6พันล้าน
โนเบิล ชี้ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ดันดีมานด์ต่างชาติพุ่ง โดยเฉพาะไต้หวัน เมียนมา จีน ฮ่องกง คาดปีนี้ยอดขายต่างชาติ 6 พันล้านเผยปี 67 เปิด7 โครงการ 1.4 หมื่นล้านพร้อมแตกไลน์ธุรกิจใหม่ต่อยอด เพิ่มความแข็งแกร่ง ตั้งเป้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ใน 3 ปี
Key Points:
- ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์(Geopolitics) กลายเป็นความท้าทายและโอกาสในดำเนินธุรกิจ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้และมีผลกระทบสูง
- ขณะเดียวกันทำให้เกิดโอกาสอย่างอสังหาริมทรัพย์เมื่อต่างชาติ ไต้หวัน เมียนมาฮ่องกงแห่มาซื้อคอนโดเมืองไทยเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 และลงทุนปล่อยเช่าถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตา
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ ปี 2567 อยู่ในภาวะกำลังฟื้นตัว โดยมีแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่ใช่อุปสรรคใหญ่อีกต่อไป แต่ยังไม่รู้ว่าจะสามารถลดอัตราดอกเบี้ยลงมาได้เร็วขนาดไหน รวมถึงภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้การฟื้นตัวของตลาดเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมาหากรัฐมีนโยบายใหม่ออกมาช่วยผลักดัน
“ปีนี้คอนโดในเมืองเริ่มกลับมา เพราะซัพพลายลดลง ไม่มีโครงการใหม่ออกมาดังนั้นพอเศรษฐกิจดีขึ้น รถเริ่มติดคนกลับมาซื้อคอนโดในเมือง และตลาดบนยังดีเพราะไม่ได้พึ่งพาสินเชื่อ”
นอกจากนี้ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์(Geopolitics)ที่เกิดขึ้นกับไต้หวันเมียนมา จีน ทำให้การเมืองไม่มีเสถียรภาพส่งผลดีกับไทย เพราะประชาชนมองหาที่อยู่อาศัยต่างประเทศทั้งลงทุนเป็นบ้านหลังที่สองหรืออยู่ถาวรหรือส่งลูกมาเรียน ซึ่งการที่โนเบิลมีโครงการที่สามารถตอบสนองความต้องการได้ ทำให้ได้ดีมานด์เหล่านั้นเข้ามา
โดยปลายปี 2566 บริษัทพรีเซลโครงการ ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส กับลูกค้าต่างชาติ ทำยอดขายมากกว่า 2,200 ล้านบาท ใน 8 สัปดาห์ และจะเริ่มทำตลาดกับลูกค้าไทยไตรมาส 1 ปีนี้ ราคาประมาณ 21 ล้านบาท/ยูนิต
นายแฟรงค์ เหลียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม โนเบิล กล่าวว่า ต่างชาติต้องการอสังหาฯ ในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดใหม่อย่าง ไต้หวัน เมียนมา ฮ่องกง ที่การเมืองไม่มีเสถียรภาพ และเชื่อว่าปีนี้ตลาดจีนจะกลับมา แม้ไม่เท่าช่วงก่อนโควิด-19 สังเกตได้จากยอดขายต่างชาติขยับขึ้นทุกปีหลังปี 2563 ที่ติดลบถึง 44.9% แต่ปัจจุบันโต 116% มียอดขาย5,700 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-time high) คาดว่า สิ้นปีนี้จะมียอดขาย 6,000 ล้านบาท
โดยกลุ่มลูกค้าหลัก มาจาก3 ประเทศ ไต้หวัน เมียนมา ฮ่องกง เพราะในปี2565 ที่ผ่านมาสัดส่วนยอดขายมาจากไต้หวันเพิ่มขึ้นถึง319% เมียนมา 118% จีน 157%และฮ่องกง 25%
สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการในปี 2567 เตรียมเปิดตัว 7 โครงการ มูลค่า 14,310 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 3 โครงการ มูลค่า 4,080 ล้านบาท ได้แก่ โนเบิล นอร์ธ กรุงเทพกรีฑา โครงการบ้านเดี่ยว เปิดตัวไตรมาสแรก ,นิวเชด ราชพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ โครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด เปิดตัวไตรมาส2 , นิว เซ็นเตอร์ เวสต์เกต โครงการบ้านเดี่ยว เปิดตัวไตรมาส 3
และโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,230 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดไฮไรส์ ทำเลพัฒนาการแบรนด์ นิวเปิดตัวไตรมาส 3 ,โครงการ นิว โคสต์ คูคต สเตชั่น เปิดตัวไตรมาส 3 คอนโดไฮไรส์ แบรนด์ นิวทำเลพระราม 9-ดินแดง เปิดตัวไตรมาส 3 และคอนโดโลว์ไรส์แบรนด์ นิว ทำเลแจ้งวัฒนะเปิดตัว ไตรมาส4
“ที่ผ่านมาเราขยายโครงการจำนวนมากปีนี้มูลค่าลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่เปิดตัว 7 โครงการ มูลค่า 18,900 ล้านบาท โดยปี 2567 ตั้งเป้าหมายรายได้ 14,000 ล้านบาท และยอดขาย 18,000 ล้านบาท”
นอกจากนี้จะมีโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จในปีนี้ 4 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายเฉลี่ย 70% ได้แก่โครงการนิว โนเบิล รัชดา–ลาดพร้าว ,โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ,โครงการนิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมืองและโครงการนิว คอร์ คูคต สเตชัน
ล่าสุดบริษัทได้ซื้อที่ดิน ย่านพระราม 9 จะทำคอนโดไฮไรส์ มูลค่า 10,000 ล้านบาท จะเปิดในปีนี้ 1 โครงการคือ คอนโดไฮไรส์ แบรนด์ นิวทำเลพระราม 9-ดินแดง ส่วนที่ดินที่เหลือรอพัฒนา, ที่ดินทำเลประชาชื่น จะทำคอนโดโลว์ไรส์แบรนด์ นิว ส่วนที่ดินทำบางนา-ตราด เป็นโครงการร่วมทุนกับ BTS และสหพัฒน์ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว รอพัฒนาในปี2568
พร้อมกันนี้บริษัทได้ เดินหน้าต่อยอดธุรกิจให้มีความครบวงจรโดย"แตกไลน์ธุรกิจ" ภายใต้บริษัท เซิร์ฟ โซลูชั่น จำกัด ในรูปแบบธุรกิจบริหารนิติบุคคล ธุรกิจบริการฝากขาย-ปล่อยเช่า รวมถึงธุรกิจการบริการจัดหาเฟอร์นิเจอร์
รวมทั้งยังมีธุรกิจต่อเนื่องที่จะสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income ) เช่น ธุรกิจการให้บริการสายไฟเบอร์ออฟติก ในโครงการที่อยู่อาศัย ธุรกิจบริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ธุรกิจบริการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ บนหลังคาของโครงการที่อยู่อาศัย และธุรกิจใหม่ ที่จะทำร่วมกับพันธมิตรซึ่งมีความเชี่ยวชาญโดยตรง เช่น ธุรกิจบริการพื้นที่ เก็บของ เป็นต้น คาดว่า ภายใน3ปีต่อจากนี้จะดันธุรกิจใหม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อถึงเวลานั้นน่าจะมีรายได้ปีละ 100 ล้านบาท