อสังหาฯ-รับสร้างบ้านแห่ลุยตจว.เศรษฐีภูธรอู้ฟู!ซื้อบ้าน-คอนโดเงินสด

บิ๊กคอร์ปอย่าง “เซ็นทรัลพัฒนา” ระบุอินไซต์กลุ่มลูกค้าเศรษฐีภูธร พบว่านิยมซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านติดศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โดยจ่ายเป็นเงินสด! ถึง 60% ทำให้ยอดการปฎิเสธสินเชื่อ หรือ “รีเจ็กต์เรตต่ำ” ขณะที่ “มาสเตอร์ แปลน”  ระบุเช่นกันว่า ดีมานด์สร้างบ้านหรูในต่างจังหวัดเติบโตสูง และลูกค้าที่ใช้บริการมีอายุน้อยลง

กรี เดชชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าธุรกิจที่อยู่อาศัยของเซ็นทรัลพัฒนา  นิยมซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2-3  บางคนซื้อลงทุน โดยเฉพาะทำเลต่างจังหวัด ที่ติดศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัล จึงมีลูกค้าทั้งในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงซื้อเพื่อมาพักผ่อนช่วงเสาร์ -อาทิตย์ หรือ วันหยุด ไม่ว่าจะเป็นชอปปิง  ว่ายน้ำ เล่นฟิตเนส ในพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดมิเนียม

“กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคหบดีในพื้นที่ มีธุรกิจส่วนตัว เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ยอดการปฏิเสธสินเชื่อต่ำ 20% ที่สำคัญลูกค้ากลุ่มนี้นิยมซื้อเงินสดถึง 60%”
 

แนวโน้มดังกล่าวทำให้บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้ 10 โครงการ มูลค่า 13,430 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 3 โครงการ ได้แก่ บ้านนิรดา เอกชัย-วงแหวน, บ้านนิรติ ศรีวารี-บางนา, บ้านนิรติ นครปฐม และ อีก 7 โครงการ เป็น คอนโดมิเนียม แบรนด์ “ESCENT” ในจังหวัดนครสวรรค์, นครปฐม, นครศรีธรรมราช, ภูเก็ต, หาดใหญ่ (เฟส 2) และอุบลราชธานี (เฟส 2) และ เซ็นทรัล บางนา  ล่าสุด คอนโดมิเนียม ESCENT ในจังหวัดนครสวรรค์ และ นครปฐม มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาทขายหมดแล้ว!

“ปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ 7,000 ล้านบาท จากปี 2566 อยู่ที่ 5,900 ล้านบาท หรือโต 20% โดยครึ่งแรกของปี 2567 รายได้ใกล้เคียงกับที่ตั้งไว้ 3,500 ล้านบาท โดย 65% เป็นคอนโดมิเนียม อีก 35% เป็นบ้านแนวราบ ปัจจุบันมี Backlog เป็นคอนโดมิเนียมประมาณ 5,000 ล้านบาท บ้าน 400-500 ล้านบาท”
 

อนันต์กร อมรวาที กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์ แปลน 101 จำกัด ผู้รับสร้างบ้านหรู กล่าวว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านหรูระดับราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไปในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ย 30% ต่อปี ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างก่อสร้างบ้านหรู 44 หลัง ในจำนวนนี้ 10 หลัง เป็นบ้านราคา 100 ล้านบาทขึ้นไป!

หากดูจากผลประกอบการบริษัทฯ ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567)  รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ปี 2565 มียอดขาย 700 ล้านบาท ปี 2566 ยอดขาย 1,000 ล้านบาท ปี 2567 คาดว่าจะมียอดขาย 1,200 ล้านบาท หรือเติบโต 20%

โดยปีนี้มีแผนส่งมอบบ้าน 13 หลัง มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.- มิ.ย.) ทำยอดขาย 500 ล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน มาจากการขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นจากเดิมเน้นตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล ล่าสุดบริษัทมีพอร์ตลูกค้าต่างจังหวัด ได้แก่ ภาคกลาง 4,000 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2,000 ล้านบาท ภาคตะวันออก 1,200 ล้านบาท ภาคเหนือ 500 ล้านบาท และภาคใต้ 250 ล้านบาท

“พฤติกรรมความต้องการของลูกค้าในตลาดรับสร้างบ้านหรู เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ กลุ่มลูกค้ามีอายุน้อยลง เพราะประสบความสำเร็จเร็วขึ้น รวยเร็วขึ้น และมีความต้องการที่หลากหลายของแต่ละเจนเนอเรชั่น ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบบ้านใหม่ออกมารองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในระดับราคาตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป”

ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ออกแบบบ้านขนาด 5,000 ตารางเมตร มูลค่า 500 ล้านบาท ปรากฏว่ามีลูกค้าสนใจ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง 2 หลัง ที่ จังหวัดตาก และนครราชสีมา สะท้อนให้เห็นว่าดีมานด์กลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดมากขึ้น จึงเป็นที่มาการออกแบบแปลนบ้าน The Empire One แบบบ้านหรู มูลค่า 1,000 ล้านบาท นำเสนอกลุ่มลูกค้าที่มีทรัพย์สินมากกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป หรือกลุ่มมั่งคั่งสูง UHNWIs (Ultra-high-net-worth individuals)