บิ๊กคอร์ป แอลพีเอ็น-อนันดา ขายบิ๊กล็อต!ระบายสต็อกกำเงินสดเสริมสภาพคล่อง
บิ๊กคอร์ปต้องปรับกลยุทธ์เสริมสภาพคล่อง โดย “แอลพีเอ็น” ขายบิ๊กล็อตระบายสต็อก กำเงินสด “อนันดา” ขายเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 5 แห่งเสริมสภาพคล่อง
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ภาคครัวเรือนมีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง กำลังซื้อชะลอตัวลากยาวจากวิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนจากตัวเลขยอดขาย ยอดโอน การเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา อยู่ในระดับต่ำสุด! รอบ 6 ปี
อภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนขายบิ๊กล็อตอาคารชุดพักอาศัยริมแม่น้ำพร้อมอยู่ ซึ่งยังมีจำนวนห้องเหลืออยู่มากพอสมควร ให้บริษัทเอกชนรายใหญ่ซื้อไว้เป็นสวัสดิการให้พนักงาน
“คอนโดมิเนียมดังกล่าวเป็นโครงการสร้างเสร็จมา 4 ปีแล้ว หากปิดการขายได้จะทำให้บริษัทมีเงินสดและสภาพคล่องมากขึ้นในไตรมาส 2 และทำให้รายได้มากกว่าไตรมาสแรก สวนทางกับภาวะตลาดไตรมาส 2 ที่เป็นโลว์ซีซัน”
อภิชาติ ยอมรับว่า ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งปีแรก 2567 แสนสาหัส! จากปัจจัยลบรอบด้าน คาดว่าครึ่งปีหลังสถานการณ์น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการภาครัฐที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อให้ดีขึ้น แม้ว่าดอกเบี้ยยังไม่ลดลง แต่ผู้คนเริ่มคุ้นชินที่จะปรับตัวอยู่กับสถานการณ์ได้แล้ว
ด้านชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีแผนเสริมศักยภาพของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นคงของเงินทุนและสามารถที่จะดำเนินงานตามแผนธุรกิจที่วางไว้
โดยได้มีการจำหน่ายเงินลงทุนในกิจการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ของบริษัทย่อย 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอเอ็มเอช รัชดา จำกัด บริษัท เอเอ็มเอช สุขุมวิท 8 จำกัด บริษัท เอเอ็มเอช สุขุมวิท 59 จำกัด บริษัท เอเอ็มเอช สาธร จำกัดและบริษัท เอเอ็มเอช พัทยา จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 51% ของทุนจดทะเบียนแต่ละบริษัท ให้แก่ บริษัท มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด (MFADT) คิดเป็นมูลค่า 2,540 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงมีการลงทุนในธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์อย่างต่อเนื่อง
“การจำหน่ายเงินลงทุนในกิจการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 5 บริษัทครั้งนี้ถือเป็นผลดี และเป็นประโยชน์ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น ซึ่งเงินที่ได้รับเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ขยายธุรกิจ และลงทุนตามแผนงานในอนาคต”
อย่างไรก็ดี การนำเงินไปใช้อาจมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ขณะนั้น ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าพร้อมโอนในปี 2567 มูลค่า 28,284 ล้านบาท และโครงการพร้อมส่งมอบในปี 2568 มูลค่า 11,929 ล้านบาท รวมทั้งหมดมูลค่า 40,213 ล้านบาท