UHGรุกมิกซ์ยูสโปรเจคลดความเสี่ยงลุยรัชโยธิน-รามชูกลยุทธ์ราคาดึงลูกค้า

UHGรุกมิกซ์ยูสโปรเจคลดความเสี่ยงลุยรัชโยธิน-รามชูกลยุทธ์ราคาดึงลูกค้า

ความร้อนแรงของโครงการมิกซ์ยูสพุ่งขึ้นต่อเนื่องจากกลุ่มบิ๊กคอร์ปในทำเลกลางใจเมืองจ่อโอเวอร์ซัพพลาย ! ทว่ายังมี “ช่องว่าง” ตลาดมิกซ์ยูส ที่กลุ่ม UHG เล็งเห็นการแทรกเข้าไปอยู่ในพื้นที่ New CBDs ตามแนวรถไฟฟ้ารัชโยธิน-รามพร้อมทั้งลดความเสี่ยงในการลงทุน

วุฒิพล ถาวรธวัช กรรมการผู้จัดการกลุ่ม บริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด หรือ UHG เจ้าของโครงการมิกซ์ยูสประกอบด้วยอาคารสำนักงานแบรนด์ “ฮิลล์” พื้นที่ค้าปลีกและโรงแรม “เดอะ ควอเตอร์” กล่าวว่า การพัฒาโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วยอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีกและโรงแรม อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ถือเป็นการ“ลดความเสี่ยง”ในการลงทุน ที่ดี โดยเฉพาะในมุมของสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ เพราะผู้พัฒนาโครงการมีแหล่งรายได้หลายทาง ในกรณีธุรกิจโรงแรมมีปัญหา ยังมีรายได้หรือค่าเช่าจากอาคารสำนักงาน ธุรกิจยังอยู่ได้แทนที่จะพึ่งโรงแรมอย่างเดียวหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

“ในแง่รายได้ช่วยกันอย่างอาคารสำนักงานจะเช่าห้องประชุม หาที่พักพนักงานสามารถใช้บริการโรงแรมได้สะดวก ร้านค้าที่เข้ามาเช่ามั่นใจกว่าเช่าอาคารสำนักงานแบบสแตนอโลน สามารถดึงร้านที่มีชื่อเสียงเข้ามาเช่าได้ง่าย ขณะเดียวกันต้องมีร้านที่ตอบโจทย์คนเข้ามากพัก เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ ร้านอาหารจานด่วน หรือผับบาร์ ใกล้คอมมูนิตี้มอลล์ ”
 

โดยล่าสุดบริษัทได้เตรียมเปิดโครงการ“รัชโยธิน ฮิลล์”มูลกว่า3,000 ล้านบาทห้องสูง 32 ชั้นซึ่งมีอาคารสำนักงานพื้นที่2,000ตร.ม.พื้นที่รีเทล และโรงแรมจำนวน 190 ห้องในเดือนส.ค.นี้เปิดให้บริการโรงแรมราคาห้องละ 3,000บาท กลุ่มเป้าหมายหลักเป็นลูกค้าคนไทย 70% ที่เหลืออีก30%เป็นต่างชาติใกล้เคียงกับโครงการลาดพร้าว ฮิลล์ เป็นลูกค้าคนไทยที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นนิยมมากช่วงที่มีคอนเสิร์ต ที่ ยูเนี่ยน มอลล์ จะเข้ามาพักที่โรงแรม

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ได้เปิดเช่าพื้นที่รีเทลราคา1,500 บาทต่อตรม.ต่อเดือน ปัจจุบันมีผู้เช่า 80% และอาคารสำนักงานเปิดแล้ว โดยมีบาร์ชื่อ “สเตตัส ”(Status) จากทองหล่อเข้ามาเช่าพื้นที่เป็นครั้งแรก ถือเป็น“แม่เหล็ก” (Magnet)ที่ดีในการช่วยดึงลูกค้าโรงแรม นอกจากนี้มีคลินิกทำฟัน คลินิกเสริมความงาม มีเซเว่น พรีเมียม เป็นต้น ทำเลสามารถขายได้กลุ่มคนที่ต้องการที่่ประชุม หรือ มาพักเพื่อรอฝึกอบรม ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มคอร์ปเรท

ปัจจุบันมีผู้เช่า 20% ราคา 850 บาทต่อตรม.ต่อเดือน คาดว่าจะดีมานด์จากลูกค้าทำเลวิภาวดีมาใช้บริการ รวมทั้งพนักงานใน SCB ที่มีศูนย์ฝึกอบรม มีบริษัทขนาดใหญ่อย่างเชฟรอน และคอนโดมิเนียม

UHGรุกมิกซ์ยูสโปรเจคลดความเสี่ยงลุยรัชโยธิน-รามชูกลยุทธ์ราคาดึงลูกค้า

นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดโครงการ “รามคำแหง ฮิลล์” ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสมูลค่า 3,500 ล้านบาท บนพื้นที่ดิน 8 ไร่ 40 ตารางวา เป็นอาคารสูง32 ชั้น มีอาคารสำนักงานพื้นที่2,000ตร.ม. ราคา550บาทต่อตรม.ต่อเดือนจากเดิมตั้งไว้750บาทต่อตรม.ต่อเดือนลดราคาลงมาเหลือ550 บาทต่อตรม.ต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีพื้นที่รีเทล และโรงแรมจำนวน 338 ห้อง อยู่ระหว่างการก่อสร้างคืบหน้าใกล้เสร็จแล้ว น่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนพ.ย.ปีนี้ ราคาห้องละ 1,600-2,000บาท

ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าที่สนใจเข้ามาเช่าพื้นที่ เช่น ธนาคารอิสลาม กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธุรกิจโฆษณาเป็นทำเลสะดวกเพราะสามารถทะลุไปถนนลาดพร้าว ศรีนครินทร์ พระราม9 พัฒนาการเชื่อมต่อได้หมด ใกล้โอสถสภา การกีฬาแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่กรีนฟิลด์ให้เช่าเหลืออยู่อีก4 ไร่ ซึ่งมีกลุ่มธุรกิจสนใจเช่ามาเช่า อาทิ โรงพยาบาลสนใจทำเวลเนสเซ็นเตอร์ ร้านอาหาร สนามเด็กเล่นในร่มสไตล์ฮาร์เบอร์แลนด์ ติดท่าเรือ เดอะมอลล์ราม 3 คาดว่า ต้องใช้เวลาในการคืนทุนในโครงการนี้8ปีจากเดิมตั้งเป้า6ปี!

UHGรุกมิกซ์ยูสโปรเจคลดความเสี่ยงลุยรัชโยธิน-รามชูกลยุทธ์ราคาดึงลูกค้า

ทั้งนี้เนื่องจากการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มล่าช้าไปกว่า 3 ปี แต่ในฐานะคนทำธุรกิจต้อง“ปรับตัว”แก้เกมให้เข้าสถานการณ์ด้วยการเดินหน้าเปิดตัวโครงการใช้“กลยุทธ์ราคา”เข้ามาดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อาทิ กลุ่มทัวร์จากต่างชาติเข้ามาพักในโรงแรม พร้อมมีรถชัตเตอร์บัส รับส่งลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาพักไปยังสถานีแอร์พอร์ตลิงค์รามคำแหง ดึงกลุ่มอาจารย์นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง, เอแบค, การกีฬาแห่งประเทศไทย, จัดงานประชุมสัมมนา รวมถึงรองรับงานรับปริญญา งานกีฬา คอนเสิร์ต ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน รวมถึงธุรกิจจากกลุ่มคนจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

“มั่นใจว่าปีนี้รายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,500 ล้านบาท ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอแต่จากการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เร็ว โดยการทำตลาดออนไลน์ผ่านโซเซียลมีเดียต่างๆเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง รวมถึงสามารถปรับราคาขึ้น-ลงให้สอดรับกับดีมานด์ในตลาดได้ตลอดเวลาเพราะได้เรียนรู้การรับมือกับความไม่แน่นอนครั้งใหญ่จากวิกฤติโควิดที่ผ่านมาแล้ว”