บิ๊กดีล! 355 ล้านดอลลาร์ 'แสนสิริ' เผย 'Hyatt' สนลงทุน Standard International

บิ๊กดีล! 355 ล้านดอลลาร์ 'แสนสิริ' เผย 'Hyatt' สนลงทุน Standard International

“แสนสิริ” เผย Hyatt แบรนด์ระดับโลก ยื่นข้อเสนอเข้าลงทุนใน Standard International คาดปิดดีล "หมื่นล้านบาท" ปลายปี 67 หลังบรรลุข้อตกลงตามสัญญา "Hyatt" จะชำระค่าตอบแทนเริ่มแรก 150 ล้านดอลลาร์ เพิ่มอีกสูงสุดไม่เกิน 185 ล้านดอลลาร์ สำหรับโรงแรมใหม่ภายใต้การบริหารของ Hyatt

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนําของประเทศไทย ผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 71% ใน Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) เครือโรงแรมThe Standard (เดอะ สแตนดาร์ด) และ Bunkhouse (บังค์เฮาส์) แบรนด์โรงแรมระดับ Top 10 จากการจัดอันดับของ Travel + Leisure’s World Best Awards 2023 

ได้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจากับ Hyatt (ไฮแอท) ผู้ประกอบการโรงแรมระดับโลก เพื่อเข้าลงทุนใน Standard International และ Bunkhouse ในราคาซื้อขายรวมประมาณไม่เกิน 355 ล้านดอลลาร์ หรือมูลค่าราว 1.2 หมื่นล้านบาท(คำนวณอัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์)

กลยุทธ์ดังกล่าวสะท้อนความสำเร็จและวิสัยทัศน์ของแสนสิริในการดำเนินธุรกิจ และเข้าลงทุนใน Future Growth Business (ธุรกิจที่มีมูลค่าการเติบโตในอนาคต)

ทั้งนี้ แสนสิริ ได้เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Standard International ในปี พ.ศ. 2560 และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจมาโดยตลอด และคาดว่าแสนสิริและ Hyattจะสามารถปิดบิ๊กดีลเดือนกันยายน 2567  

การเข้าลงทุนซื้อกิจการ Standard International ของ Hyatt ครั้งนี้ จะส่งผลดีและสร้าง value added ต่อแสนสิริเป็นอย่างมาก เนื่องจาก Hyatt มีโครงสร้างพื้นฐานที่เข้มแข็งทั่วโลก โดยเฉพาะโปรแกรมสมาชิก World of Hyatt ที่ประกอบไปด้วยสิทธิพิเศษและข้อเสนอมากมาย จะเป็นส่วนสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่พร็อพเพอร์ตี้ของแสนสิริ

สำหรับดีลซื้อขายที่กำลังจะเกิดขึ้น "แสนสิริยังคงเป็นเจ้าของพร็อพเพอร์ตี้" ประกอบไปด้วย เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน(The Standard, Hua Hin) เดอะสแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ หัวหิน (The Standard Residences, Hua Hin) เดอะ เภรี โฮเต็ลหัวหิน(The Peri Hotel, Hua Hin)  เดอะ เภรี โฮเต็ล เขาใหญ่(The Peri Hotel, Khao Yai) และเป็นเจ้าของ The Manner โรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ที่กำลังจะเปิดตัวในย่านโซโหของเมืองนิวยอร์กในเดือนกันยายน 2567

ที่สำคัญ แสนสิริยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจ Hospitality และมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ในอนาคตด้วย 

นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาแสนสิริได้รับการติดต่อจากเชนโรงแรมขนาดใหญ่ระดับโลกหลายแห่ง ซึ่งเราวิเคราะห์ว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดี เนื่องจากพิจารณาจังหวะโอกาส ปัจจัยพื้นฐาน สภาวะตลาด ตลอดจนนโยบายในการบริหารว่าสอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ที่แสนสิริกำหนดไว้ คือการสร้างการเติบโตให้กับ Standard International ได้อย่างแข็งแกร่งและมีความมั่นคงในระยะยาว

ปัจจุบัน โอกาสทางธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมาขยายตัวอีกครั้ง จากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ส่งผลให้แนวโน้มความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวเริ่มฟื้นกลับ ถือเป็นเวลาที่เหมาะสม มีโมเมนตัมเชิงบวกต่อภาพรวมของธุรกิจ

“แสนสิริในฐานะอันดับ 1 แบรนด์ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนําของประเทศไทย ขอขอบคุณ Hyatt แบรนด์โรงแรมชั้นนำชั้นนำระดับโลก ที่เล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของ Standard International หนึ่งในธุรกิจทางด้าน Hospitality ของแสนสิริ ถือเป็นก้าวสำคัญในแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ของStandard International โดยมั่นใจว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ของ Hyatt นอกจากจะสะท้อนถึงความสำเร็จในการลงทุน Standard International ของแสนสิริแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในหลากหลายด้านให้กับลูกค้าและทีมงานของ Standard International อีกด้วย”  

ทั้งนี้ สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าว ยังครอบคลุมสัญญาบริหารและแฟรนไชส์สำหรับโรงแรมมากถึง 21 แห่งมีห้องรวมกันราว 2,000 ห้อง มีทั้งโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว เช่น The Standard, London (เดอะ สแตนดาร์ด ลอนดอน) The Standard, High Line (เดอะ สแตนดาร์ด ไฮไลน์) ในเมืองนิวยอร์กThe Standard, Bangkok Mahanakhon (เดอะ สแตนดาร์ดแบงค็อกมหานคร) และโรงแรมบูติคอย่าง Hotel Saint Cecilia (โฮเทล เซนต์ เซซิเลีย) ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส และ Hotel San Cristóbal (โฮเทล ซาน คริสโตบัล) ในเมืองบาฮากาลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก

หลังจากที่บรรลุข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าว Hyatt จะชำระค่าตอบแทนเริ่มแรกจำนวน 150 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มเติมอีกสูงสุดไม่เกิน 185 ล้านดอลลาร์ สำหรับโรงแรมแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารโดย Hyatt

ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 แสนสิริมีผลงานยอดขายที่โดดเด่นจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของทางรัฐบาล ที่ทำให้ตลาดเริ่มกลับมามีสัญญาณบวก โดยสามารถสร้างยอดขายรวมได้ถึง 25,000 ล้านบาท คิดเป็น 48% ของเป้าทั้งปีที่ 52,000 ล้านบาท ทางด้านรายได้ ครึ่งปีแรกทำได้ร่วม 20,000 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปีที่ 43,000 บาท โตขึ้น 8% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เป็นอันดับ 1 ทั้งในด้านรายได้และกำไรสุทธิเมื่อเทียบในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย