จับตา! กลุ่มทุนใหม่เข้าบริหาร 'ตั้งฮั่วเส็ง' จากห้างสู่ศูนย์อาหารคอนโด ?
จับตา! กลุ่มทุนใหม่เข้าบริหาร ‘ตั้งฮั่วเส็ง’ จากห้างฯ สู่ศูนย์อาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือคอนโด ? หลังกรมบังคับคดีขายทอดตลาดกลุ่มทุนจาก เอ็มพีวี โฮลดิ้ง เข้ามาซื้อ
สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันเป็นยุคที่ธุรกิจห้างสรรพสินค้าตกต่ำ มีห้างฯ หลายแห่งที่เคยเปิดมาต้องปิดตัวไป และไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่ในกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจจะมีเป็นพื้นที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในศูนย์การค้าเท่านั้น ส่วนในต่างจังหวัดอาจจะมีห้างสรรพสินค้าเปิดให้บริการใหม่บ้างแต่ก็ลดน้อยลงมาก
สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า หมดยุคห้างสรรพสินค้า เพราะรูปแบบห้างสรรพสินค้าอาจจะไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ยิ่งถ้าอยู่ในทำเลที่ไม่น่าสนใจ หรือการเดินทางไม่สะดวก จะไม่สามารถดึงดูดให้ลูกค้าเดินทางเข้าไปเพราะความนิยมห้างสรรพสินค้าลดลง
ที่ผ่าน "ตั้งฮั่วเส็ง" ประสบปัญหา "ขาดทุน" สะสมมานานจนทำให้อาจจะไม่สามารถจ่ายสินเชื่อได้ และกลายเป็นทรัพย์ในกรมบังคับคดี และขายทอดตลาดในที่สุด การที่มีกลุ่มทุนใหม่อย่างบริษัท เอ็มพีวี โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตั้งใหม่ช่วงเดือนเมษายน ปี 2567 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท กลายเป็นเจ้าของตั้งฮั่วเส็ง จึงยังไม่รู้ว่าทิศทางในอนาคตของตั้งฮั่วเส็งต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะยังไม่ทราบแนวทางการพัฒนาของเจ้าของใหม่
"แนวทางที่มีความเป็นไปได้ง่ายที่สุดคือ การดำเนินกิจการแบบเดิมไปก่อน ซึ่งที่สามารถดำเนินการได้ทันทีคือ ส่วนของศูนย์อาหาร และซูเปอร์มาร์เก็ตซึ่งก่อนหน้านี้มีคนเข้าใช้บริการเยอะที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับพื้นที่ชั้นอื่นๆ เพราะพื้นที่โดยรอบมีหอพัก อพาร์ตเมนต์ และสถาบันการศึกษาจำนวนมาก"
สำหรับพื้นที่โดยรอบของ ห้างสรรพสินค้า ตั้งฮั่วเส็ง สาขาธนบุรี มีศักยภาพที่ไม่น้อย เพียงแต่อาจจะไกลจากเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม เนื่องจากสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดคือ สถานีสิรินธรของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินซึ่งไกลออกไปมากกว่า 1 กิโลเมตร
โดยราคาที่ดินในพื้นที่อยู่ในช่วง 450,000 – 470,000 บาทต่อตารางวา และราคาประเมินราชการอยู่ที่เพียง 130,000 บาทต่อตารางวา ที่ดินที่ตั้งฮั่วเส็งปัจจุบันมีขนาดประมาณ 7 ไร่ ซึ่งทั้งขนาดของที่ดิน พื้นที่โดยรอบ และศักยภาพอื่นๆ ก็สามารถพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้หลายประเภทรวมถึงคอนโดมิเนียม
"แต่ที่เป็นไปได้ที่สุดคือ การเปิดให้บริการในรูปแบบเดิมไปก่อนเพื่อสร้างรายได้ และจัดการปัญหาค้างคาโดยเฉพาะในเรื่องของค่าแรงที่ติดค้างพนักงานอยู่จำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นการระบายสต็อกสินค้าให้หมดก่อนที่จะเริ่มดำเนินการอะไรใหม่ๆ ต่อไป"
สุรเชษฐ กล่าวว่า รูปแบบของโครงการที่มีความเป็นไปได้ในอนาคตนั้นมีหลากหลายรูปแบบ แต่ถ้าพิจารณาจากกลุ่มทุนที่เข้ามาเป็นเจ้าของใหม่นั้น การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมบนที่ดินขนาด 7 ไร่ แปลงนี้ก็เป็นไปได้เช่นกัน เพราะมีกรรมการบางคนเคยมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่ในกรุงเทพฯ ก็ตาม
"หากจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมก็ต้องพิจารณาเรื่องของต้นทุนในการพัฒนาซึ่งรวมทั้งค่ารื้อถอนอาคารปัจจุบันด้วย และความเป็นไปได้อื่นๆ ก็อาจจะต้องเปิดขายที่ราคาไม่มากกว่าโครงการที่อยู่ใกล้กว่าสถานีรถไฟฟ้า หรือไม่มากกว่า 100,000 บาทต่อตารางวา ซึ่งการจะแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงอาจจะเป็นไปได้ยากในช่วงเวลานี้"
ฉะนั้นการเปิดบริการพื้นที่บางส่วนไปก่อน แล้วค่อยๆ ปรับพื้นที่ชั้นอื่นๆ ต่อไป จากนั้น เมื่อตลาดที่อยู่อาศัยดีขึ้นก็อาจจะพิจารณาเรื่องของการรื้อถอนอาคารเพื่อพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมหรือโครงการประเภทอื่นๆ ต่อไปน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อชะลอตัว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์