อสังหากทม.-ปริมณฑลไตรมาส2/67 ยอดขายหด8.4%สต็อกพุ่ง1.2ล้านล้าน

อสังหากทม.-ปริมณฑลไตรมาส2/67 ยอดขายหด8.4%สต็อกพุ่ง1.2ล้านล้าน

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผยไตรมาส2/67อสังหากทม.-ปริมณฑลยอดขายหด8.4% ผลจากหน่วยขายได้ใหม่ของคอนโดลดลง3.4% และบ้านจัดสรรลดลง11.5% ดันสต็อกพุ่ง1.2ล้านล้านอัตราดูดซับต่ำสุดในรอบ7ปี

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย ในกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล ช่วงไตรมาส 2/2567  ยอดขายได้ใหม่ในภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยลดลง -8.4% มูลค่า 84,327 ล้านบาท ลดลง -2.2%

เป็นโครงการอาคารชุด 6,029 หน่วย ลดลง 3.4% มูลค่า 24,075 ล้านบาท ลดลง 7.5%อาคารชุดที่ขายได้ใหม่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 3ล้านบาท โดยมีจำนวน 4,590 หน่วย ส่วนบ้านจัดสรรมีจำนวน 8,909 หน่วย ลดลง 11.5% แต่มีมูลค่า 60,251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.1% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มราคา 3 – 7.5 ล้านบาท โดยมีจำนวน 4,313 หน่วย

“ภาพรวมหน่วยขายได้ใหม่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้อัตราดูดซับ ต่อเดือนปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 2.2% ต่ำกว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 ที่มีอัตราดูดซับที่ 2.3%เหลือขายเพิ่ม 2.14 แสนหน่วย มูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท เพิ่ม 33% ”

จากทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายเพิ่มขึ้น 5 ไตรมาสติด โดยมีจำนวน 214,590 หน่วยเพิ่มขึ้น 12.6% มูลค่า 1,266,259 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้น 33.3% แบ่งเป็น

  • อาคารชุด 84,556 หน่วย เพิ่มขึ้น 14.5% มูลค่า 379,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.6%
  • บ้านจัดสรร 130,034 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.4% มูลค่า 886,715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.9%

“จากผลสำรวจข้อมูลแสดงให้เห็นว่าภาพรวมไตรมาส 2/2567 ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล พบว่า ภาพรวมมียอดขายที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า โดยตลาดภาพรวมพบการขยายตัวในที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่อยู่ในระดับราคาเกินกว่า 10ล้านบาท ถึงแม้มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ไม่มากแต่สร้างมูลค่าของยอดขายที่สูงขึ้น”

อย่างไรก็ตามคงต้องเฝ้าระวังสต๊อกคงเหลือในทุกประเภทและระดับราคา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีที่อยู่อาศัยหน่วยเหลือขายที่ลดลงช้า และมีอัตราการดูดซับที่ต่ำลง ซึ่งกระจายในหลายพื้นที่ คาดว่าภาพรวมทั้งปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่เข้ามาสู่ตลาดจำนวน  85,195 หน่วย มูลค่า 528,396 ล้านบาท ลดลง11.4 %ทั้งจำนวนและมูลค่า เมื่อเทียบกับปี 2566 

 โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 42,109 หน่วย มูลค่ารวม 357,108 ล้านบาท โครงการอาคารชุด จำนวน 43,086 หน่วย 171,288 ล้านบาท  และได้คาดการณ์ว่าจะมีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวน 77,746 หน่วย เพิ่มขึ้น3.8% แต่มีมูลค่า 390,909 ล้านบาท ลดลง0.05% เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 43,046 หน่วย มูลค่า 264,284 ล้านบาท เป็นโครงการอาคารชุดจำนวน 34,701หน่วย มูลค่า 126,625 ล้านบาท 

“ภาพรวมจะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายทั้งสิ้น 217,343 หน่วย มูลค่า 1,237,835 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านจัดสรร 125,310 หน่วย มูลค่า 832,230 ล้านบาท เป็นโครงการอาคารชุด 92,032 หน่วย มูลค่า 405,605 ล้านบาท โดยคาดว่าอัตราดูดซับโดยภาพรวมจะยังคงไม่ดีขึ้น โดยคาดว่าจะอยู่ที่2.2% ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน”