อสังหาฯระเบิดสงครามราคาโค้งสุดท้าย เร่งกู้ยอด! หลังไตรมาส 3 ดิ่งยกแผง

ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไตรมาสสุดท้ายนี้  นับเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายสำหรับดีเวลลอปเปอร์ที่ต้องเร่งเคลียร์สต็อก เพื่อรักษาสภาพคล่อง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเสี่ยงสูง แน่นอนว่าธุรกิจต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวัง

ทั้งนี้ ยอดขายไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เชิงจำนวนเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) ติดลบ 30% เทียบปีต่อปี (YoY) ติดลบ 45% หากแยกประเภทพบว่าคอนโดมิเนียมติดลบสูงสุด 60% ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบ 26% บ้านเดี่ยว ติดลบ 26% หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาส คอนโดมิเนียมติดลบ 42% ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบ 15% บ้านเดี่ยว ติดลบ 17% ส่วนยอดขายเชิงมูลค่าเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ติดลบ 28% เทียบปีต่อปี ติดลบ 39% หากแยกประเภท ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบสูงสุด 56% คอนโดมิเนียม ติดลบ 47% บ้านเดี่ยว ติดลบ23% แต่ถ้าเทียบไตรมาสต่อไตรมาส คอนโดมิเนียม ติดลบ 44% ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบ 20% บ้านเดี่ยวติดลบ 16%

 

ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 ส่งท้ายปี จะเห็น “สงครามราคา” หรือ Price War ที่เรียกว่า ลดแรง! กว่าทุกครั้ง รายใหญ่ร่วมงานเกือบทุกค่าย จากปกติบางรายไม่ได้เข้าร่วม

"ปีนี้ไม่ว่าจะเป็นแสนสิริ เอสซี แอสเสท อนันดา ออริจิ้น ศุภาลัย เอพี มากันแบบเต็มแม็กซ์ สร้างสีสันความคึกคักในงานมหากรรมบ้านและคอนโดครั้งสุดท้ายของปี เป็นโอกาสดีของผู้ซื้อที่ประกอบการต่างใช้กลยุทธ์ราคากระตุ้นยอดขาย ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อเปราะบาง ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ดี"

ทางด้าน ณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์  หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดปฏิเสธสินเชื่อ(Rejection Rate) ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ ไม่เฉพาะบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทเท่านั้นที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อ แต่มียอดปฏิเสธสินเชื่อมากขึ้นในกลุ่มบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท 

 

“บ้านของเอสซี แอสเสท ระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตัวเลขปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นจาก 6-7% เป็น 14-15% ส่วนบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทตัวเลขปฏิเสธสินเชื่อเท่ากับปีที่ผ่านมา”

แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อได้รับผลกระทบเช่นกัน คนที่เข้ามาเยี่ยมชมโครงการน้อยลง 20-30% เพราะไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจจึงชะลอการตัดสินใจซื้อ ส่งผลให้ตลาดค่อนข้างเงียบ เทียบช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา 

สำหรับ เอสซี แอสเสท วางกลยุทธ์ “Go-To-Customer Strategy”  มุ่งส่งเสริมการขายหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือการจัดกิจกรรมการตลาดตามศูนย์การค้าต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายขึ้นแทนที่จะรอให้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมโครงการ

“ปีนี้วางแผนจัดกิจกรรมในศูนย์การค้าเพื่อเข้าไปหาลูกค้าด้วยการออกบูธทั้งปี 10 ครั้ง จากปกติปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้ตามเป้า เพราะทำให้ลูกค้าได้ช้อปสะดวก พร้อมโปรโมชั่น Hot Deal ทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม ผ่านกิจกรรมที่น่าสนใจ และเงื่อนไขพิเศษในงานมหกรรมบ้านและคอนโด สำหรับลูกค้าที่กำลังพิจารณาตัดสินใจซื้อบ้าน”

ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ดีเวลลอปเปอร์ยังคงชะลอการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ ทำให้ซัพพลายตลาดคอนโดมิเนียม ในกรุงเทพฯ อยู่ในภาวะ “ขาดแคลน” ศุภาลัยมองเห็นโอกาสพัฒนาโครงการเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าในระดับราคาที่สมเหตุสมผล

จึงเปิดตัวคอนโดมิเนียม 2 โครงการ “SUPALAI TYME เจริญนคร” ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท และ “SUPALAI BLU สาทร-ราชพฤกษ์” เริ่มต้น 1.89 ล้านบาท ขณะเดียวกัน เปิดตัว 2 โครงการในภูเก็ต “SUPALAI SENSE เขารัง ภูเก็ต”  เริ่มต้น 2.69 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ และ “SUPALAI KRAM เขาเต่า” หัวหิน ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท

 ถิรชนม์ ธเนศเดชสุนทร ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจขณะนี้มีความไม่แน่นอนสูง จากหลายปัจจัยลบรอบด้าน โดยสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย ร่วมกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงิน จัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 ระหว่างวันที่ 31 ต.ค.- 3 พ.ย. ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ รวบรวมที่อยู่อาศัยมากสุดในไทยจากกว่า 150 บริษัท มากกว่า 1,000 โครงการ เป็นทางเลือกให้ผู้มองหาที่อยู่อาศัย และเป็นหนึ่งในฟันเฟืองกระตุ้นเศรษฐกิจ

"การจัดงานช่วงต้นปีมีสัญญาจะซื้อจะขายในงานมากกว่า 1,000 สัญญา คิดเป็นยอดขายมูลค่า4,500 ล้านบาท หลังจบงานยังมียอดขายตามมาอีกมากกว่าหมื่นล้านบาท”

โดยมีสถาบันการเงินให้บริการสินเชื่อ ผ่านโครงการสินเชื่อบ้าน DD (ดี๊ดีย์) ภายใต้กรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท พร้อมสินเชื่อบ้าน 71 ปี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท ขณะที่มาตรการของภาครัฐสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2567 อาทิ การลดค่าโอน ค่าจดจำนอง บ้านและคอนโดมิเนียม ในกรอบ 7 ล้านบาท นับเป็นแรงหนุนให้ผู้สนใจจับจองที่อยู่อาศัยส่งท้ายปีนี้