ไทยขึ้นแท่น"ดาต้าเซ็นเตอร์ฮับ"ในภูมิภาคตามนโยบาย Cloud First Policy

ไทยขึ้นแท่น"ดาต้าเซ็นเตอร์ฮับ"ในภูมิภาคตามนโยบาย Cloud First Policy

เจแอลแอล ชี้ประเทศไทยเตรียมขึ้นแท่นเป็น"ดาต้าเซ็นเตอร์ฮับ"ในภูมิภาคสะท้อนอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรที่สูงกว่า 85% และมีบัญชีผู้ใช้โซเชียลมีเดียสูงกว่า 65% ปัจจัยข้างต้นชี้ให้เห็นถึงศักยภาพพื้นฐานที่แข็งแกร่งต่อการทำธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์

KEY

POINTS

  • ภาคธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์  ยังคงดึงดูดการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์จากนักลงทุนชาวไทยอย่างต่อเนื่อง
  • ประเทศไทยขึ้นแท่นเป็น"ดาต้าเซ็นเตอร์ฮับ"ในภูมิภาค
  • สะท้อนอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรที่สูงกว่า 85% และมีบัญชีผู้ใช้โซเชียลมีเดียสูงกว่า 65%
  • ปัจจัยข้างต้นชี้ให้เห็นถึงศักยภาพพื้นฐานที่แข็งแกร่งต่อการทำธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์
  • ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจของประเทศไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2568

เจแอลแอล ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการสรรหาที่ดินให้แก่หนึ่งในบริษัทผู้จัดเก็บระบบข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือดาต้าเซ็นเตอร์ บนทำเลทองริมถนนบางนา-ตราด ซึ่งเจแอลแอลได้อาศัยความร่วมมือจากเครือข่ายระดับสากล ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของบริษัท และองค์ความรู้เชิงลึกด้านตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ ในการอำนวยความสะดวกให้การทำธุรกรรมมีความราบรื่นส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความสำเร็จครั้งนี้

การซื้อที่ดินเพื่อลงทุนทำโครงการดาต้าเซ็นเตอร์บนถนนบางนา-ตราดในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ของผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนมากในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็นดิจิทัลฮับ จากความต้องการบริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น และการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย Cloud First Policy โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แห่งประเทศไทย (BOI) ได้อนุมัติแผนการลงทุนระยะยาวให้แก่ผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย 
 

ประเทศไทยมีความพร้อมด้วยปัจจัยหลายด้านที่เหมาะสมแก่การก้าวเป็นสู่ศูนย์กลางข้อมูลในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรที่สูงกว่า 85% และมีบัญชีผู้ใช้โซเชียลมีเดียสูงกว่า 65% ปัจจัยข้างต้นชี้ให้เห็นถึงศักยภาพพื้นฐานที่แข็งแกร่งต่อการทำธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ การลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากหนึ่งในบริษัทโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นการตอกย้ำสถานะของไทยในการเป็นศูนย์รวมดาต้าเซ็นเตอร์ที่น่าจับตามองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไทยขึ้นแท่น\"ดาต้าเซ็นเตอร์ฮับ\"ในภูมิภาคตามนโยบาย Cloud First Policy

กฤช ปิ่มหทัยวุฒิ หัวหน้าแผนกตลาดทุนประจำประเทศไทย บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนครั้งสำคัญนี้ว่า ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของดาต้าเซ็นเตอร์คุณภาพสูงในประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าไทยเริ่มเป็นที่สนใจในฐานะศูนย์กลางของระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั่วไปโครงการดาต้าเซ็นเตอร์เป็นธุรกิจที่รับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกได้น้อย จึงทำให้มีเกณฑ์การคัดเลือกสถานที่ตั้งโครงการอย่างละเอียด เนื่องจากต้องจำกัดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลในทุกๆด้าน เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการลงทุนของโครงการสำคัญในครั้งนี้
 

“ประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์สูง เนื่องจากประเทศไทยยังมีจำนวนดาต้าเซ็นเตอร์และพื้นที่การเก็บข้อมูลไม่มากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้” 

ยกตัวอย่าง ประเทศ อินโดนีเซียและมาเลเซีย ประกอบกับการขยายโครงสร้างพื้นฐานของระบบคลาวด์และข้อกำหนดด้านการจัดเก็บข้อมูล ควบคู่ไปกับการเสริมความพร้อมด้านพลังงานและนโยบายส่งเสริมการลงทุนจาก BOI

ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ที่ให้นักลงทุนต่างชาติที่จะมาลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์สามารถถือครองที่ดินได้  ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์สำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจลงทุนของผู้ประกอบธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์จากทั่วโลก

ไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวว่า ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ในเอเชียกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีความจุในการเก็บข้อมูลรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจาก 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2565 เป็น 5,000 เมกะวัตต์ในปี 2566 การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลในอุตสาหกรรมต่างๆ ของภูมิภาค

สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จีนยังเป็นผู้นำด้วยจำนวนดาต้าเซ็นเตอร์รวมสูงสุด 448 แห่ง ตามมาด้วยออสเตรเลียที่ 306 แห่ง และญี่ปุ่นซึ่งมีดาต้าเซ็นเตอร์ 218 แห่ง 

ตัวเลขนี้แสดงถึงความเป็นผู้นำในระบบโครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศดังกล่าวในเอเชียแปซิฟิก ในขณะที่ประเทศไทยมีดาต้าเซ็นเตอร์เพียง 39 แห่ง ยังตามหลังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ อย่างมาเลเซียที่มี 55 แห่งและอินโดนีเซียที่ 79 แห่ง

“ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าศักยภาพการเติบโตของไทยในภาคธุรกิจนี้ยังมีอีกมากมาย โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจดิจิทัลยังเติบโตต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ซึ่งเกิดจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล”

เมื่อความต้องการบริการดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประเทศไทยซึ่งมีข้อได้เปรียบทั้งในเรื่องที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์และสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ดี กลายเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์

“ เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำคัญซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนอนาคตของธุรกิจดิจิทัลในประเทศไทยต่อไป” 


ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นหนึ่งในกลุ่มสินทรัพย์เพื่อการลงทุนสำคัญที่ขับเคลื่อนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การจ้างงาน และการลงทุนจากต่างประเทศในระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งนอกจากโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ ยังมีธุรกิจโรงแรม อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ รวมถึงธุรกิจด้านสุขภาพ เป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญที่มีส่วนขับเคลื่อนการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปีนี้

 นอกเหนือจากดีลดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้กล่าวมาข้างต้น เจแอลแอลได้เป็นผู้ให้คำแนะนำในการขายโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งเป็นธุรกรรมการซื้อขายโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปีนี้ เมื่อไม่นานมานี้ และ เจแอลแอลกำลังให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าของบริษัท ในการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญอีกหลายรายการ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมที่พักและดาต้าเซ็นเตอร์