“แอลพีพี” สยายปีกธุรกิจบริหารจัดการอสังหาฯ ขยายพอร์ต สานเป้าขึ้นท็อป 5
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ปี 2567 อยู่ในภาวะซบเซาตลอดจากแรงกดดันหลายด้าน แต่หนึ่งในตลาดที่ขยายตัวสูงสวนทางตลาดคือ ธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เนื่องจากการลงทุนโครงการใหม่ต้องวางระบบต่างๆ
การจัดตั้งบริษัทนิติบุคคลมาดูแลและบริหาร รวมถึงโครงการที่เกี่ยวข้องทั้ง โรงแรม สำนักงาน ต้องมีบริการดูแลจัดการพื้นที่ ประกอบกับเทรนด์การรีโนเวทโครงการเดิมไปสู่โรงแรมมาแรงต่อเนื่องหลายปี
สุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ แอลพีพี (LPP) ผู้ให้บริการธุรกิจบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ธุรกิจให้บริการจัดการอสังหาฯ มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท และมีแนวโน้มการขยายตัว 2 หลัก สวนทางตลาดอสังหาฯ โดยรวม จากความต้องการของลูกค้าที่มีโครงการต้องรีโนเวทใหญ่ทุก 5-10 ปี รวมถึงตลาดสำนักงานและโรงแรม และเทรนด์จากการนำอพาร์ตเมนต์ มารีโนเวทสู่โรงแรมร้อนแรงมาหลายปีแล้ว
ตลาดมีขนาดใหญ่มากและขยายตัวสูง แต่พบว่ามีผู้เล่นในตลาดน้อยราย ถือเป็นตลาดบลูโอเชี่ยน ทำให้บริษัทซึ่งอยู่ในตลาดมา 30 ปี เริ่มต้นจากการบริหารธุรกิจจัดการอสังหาฯ ให้แก่บริษัทแม่คือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์จำกัด (มหาชน) จากนั้นเริ่มขยายพอร์ตโฟลิโอไปลูกค้าอื่น ๆ รวม 7 ปี และขยายธุรกิจให้ครอบคลุม ด้วยการเปิดบริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ แอลพีพี ( LPP) ให้บริการครบวงจรทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) และแม่บ้าน
การขยายธุรกิจนี้ มาจากการทำวิจัยพบความต้องการของลูกค้าสูง โดยตลาดรวมด้านการรักษาความปลอดภัยของประเทศมีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 8-9%
รวมถึงในปีก่อนได้เข้าไปลงทุน บริษัท พี ดับบลิว กรุ๊ป เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (PW Group) ที่ดำเนินธุรกิจงานระบบไฟฟ้า ประปา และระบบปรับอากาศภายในอาคาร โดยปัจจุบันมีงานของลูกค้าที่ทำโครงการอพาร์ตเมนต์ ต้องการปรับโฉมโครงการไปสู่โรงแรม 19 ชั้น อยู่ในสุขุมวิท โดยบริษัทเข้าไปลงทุนปรับพัฒนาระบบภายใน อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ธุรกิจจะเป็นเรือธงสำคัญที่เติบโตสูงในอนาคต ช่วยผลักดันรายได้เพิ่มขึ้นในระยะยาว
ขั้นต่อไปจะผลักดันให้บริษัทเติบโตแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นแอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ มีแผนเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงปี 2568 และจะยื่นไฟลิ่งในช่วงไตรมาส 2 โดยประเมินว่าจะได้เงินประมาณ 600-800 ล้านบาท สำหรับลงทุนพัฒนาระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้แข็งแกร่งขึ้น และลงทุนขยายสัมปทาน โดยเฉพาะสัมปทานที่จอดรถในทำเลต่าง ๆ เน้นทำเลที่มีศักยภาพอย่างใกล้กับรถไฟฟ้าและมีขนาดพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ เป็นต้น รวมถึงสนใจเข้าไปประมูลพัฒนาหอพัก และนำไปใช้หมุนเวียนในธุรกิจ ตลอดจนการนำไปต่อยอดธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ประเมินการรุกตลาด ส่งผลให้ปีนี้จะมีผลประกอบการ 1,700 ล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่อง โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขยายตัว 100% จากปี 2564 อยู่ที่ 750 ล้านบาท พร้อมวางเป้าหมายในปี 2568 จะสร้างรายได้รวม 2,000 ล้านบาท ขยายตัว 10%
“ที่ผ่านมา บริษัทไม่เร่งขยายธุรกิจ แอลเอสเอส เนื่องจาก ต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอ รวมถึงต้องประเมินว่า ภาครัฐจะปรับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำหรือไม่ เนื่องจากมีผลต่อการทำสัญญากับลูกค้า ที่กว่าจะปรับราคาได้ต้องใช้เวลา 3 เดือน โดย รปภ.ของบริษัทเป็นคนไทยทั้งหมด เนื่องจากอาชีพนี้ เป็นอาชีพสงวนให้แก่คนไทย”
ขณะเดียวกันได้วางเป้าหมายระยะยาว 5 ปี แอล พี พี จะก้าวสู่ท็อป 5 บริษัทจากประเทศไทยที่ให้บริการจัดการอสังหาฯ แบบครบวงจร ส่วนบริษัทในเครือ แอลเอสเอส จะขึ้น ท็อป 10 ผู้ให้บริการทางด้านการรักษาความปลอดภัยและบริการแม่บ้าน ส่วนแผนระยะยาวหากบริษัทในเครือมีศักยภาพโตแข็งแกร่ง มีความสนใจสามารถนำไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอเช่นกัน
ธำรงค์พล แดงบุบผา กรรมการผู้จัดการ แอลเอสเอส กล่าวว่า บริษัทมุ่งยกระดับบริการทางด้าน สมาร์ตซีเคียวริตี้ ผสมเทคโนโลยีของปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ โดยพัฒนาระบบ ดิจิทัล แพลตฟอร์ม และระบบ เอ็นเอฟซี ดีไวส์ (NFC Device) ที่เป็นจุดตรวจความปลอดภัยและรายงานผลได้แบบเรียลไทม์ รวมถึงสามารถแจ้งเตือนได้ผ่าน ศูนย์ปฏิบัติการเหตุฉุกเฉิน (EOC) ที่รวมศูนย์ข้อมูลและแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินได้รวดเร็ว ซึ่งทุกการแจ้งเตือนมีเจ้าหน้าที่ควบคุม ระงับเหตุ และปิดเคสได้ 100%
การมุ่งลงทุนยกระดับเทคโนโลยีเนื่องจากต้นทุนจากการดำเนินงาน มาจาก ค่าใช้จ่ายในพนักงานถึง 75% และแนวโน้มค่าแรงมีโอกาสปรับสูงขึ้นได้ ประกอบกับเทรนด์ของเทคโนโลยีการดูแลความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีมาดูแลและบริหารมากขึ้น
ทั้งนี้ภาพรวมบริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจาก บริการรักษาความปลอดภัย 68% บริการดูแลรักษาความสะอาด 26% และ บริการอื่นๆ 6% โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกว่า 1,400 คน