อานิสงส์ทุนจีนย้ายฐานปักหมุดอีอีซีดันซัพพลายคอนโด พัทยาพุ่งสูงสุดรอบ 5 ปี

อานิสงส์ทุนจีนย้ายฐานปักหมุดอีอีซีดันซัพพลายคอนโด พัทยาพุ่งสูงสุดรอบ 5 ปี

คอลลิเออร์สชี้อานิสงส์ทุนจีนย้ายฐานผลิตปักหมุดอีอีซี หนุนซัพพลายคอนโด พัทยาพุ่งสูงสุดรอบ 5 ปี การแข่งขันอย่างดุเดือดของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และดีเวลลอปเปอร์ท้องถิ่นแห่ผุดโครงการ

ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย และการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า ผลการสำรวจพบว่ามีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี มากถึง 20 โครงการ จำนวน 10,437 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมถึง 43,285 ล้านบาท จำแนกเป็นคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยา จำนวน 13 โครงการ 7,897 ยูนิต มูลค่าลงทุนรวม 38,700 ล้านบาท และนอกเขตพื้นที่พัทยาจำนวน 7 โครงการ 2,540 ยูนิต มูลค่าลงทุนรวม 4,585 ล้านบาท

"การเปิดตัวโครงการดังกล่าวเป็นอุปทานเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปีของตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยาในปี 2567 ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยากลับมาคึกคักอีกครั้ง"
 

อุปทานเปิดตัวใหม่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน  เห็นได้ว่าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับเข้าสู่ภาวะปกติ อุปทานใหม่กลับมาเปิดตัวอีกครั้ง และส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาของดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่จากกรุงเทพฯ และทุนท้องถิ่น อาทิ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, ริเวียร่า กรุ๊ป, แสนสิริ และ แอสเซทไวส์  โดยปี 2567 มีอุปทานเปิดขายใหม่ 13 โครงการ 7,897 ยูนิต มูลค่าลงทุนรวม 38,700 ล้านบาทส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในทำเลจอมเทียน

อานิสงส์ทุนจีนย้ายฐานปักหมุดอีอีซีดันซัพพลายคอนโด พัทยาพุ่งสูงสุดรอบ 5 ปี

ภัทรชัย กล่าวว่า ตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 2554 จนถึง ปี 2567 มีอุปทานเปิดขายใหม่ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยาทั้งหมด 116,075 ยูนิต โดยพื้นที่ย่านจอมเทียน มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 39.66% ตามมาด้วยในพื้นที่เขาพระตำหนัก 18.82% และในพื้นที่ใจกลางเมืองพัทยา 18.70%  สิ้นปี 2567 อุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 47,800 ยูนิต สามารถขายออกไปแล้ว 36,471 ยูนิต คิดเป็น 76.29% เหลืออุปทานรอการขายอีก 11,329 ยูนิต คิดเป็น 23.71%
 

“ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยาคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี ยังเป็นที่น่าสนใจของกลุ่มลูกค้า และมีอัตราการขายที่ค่อนข้างเร็ว ขณะที่อุปทานใหม่กลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้งทั้งในพื้นที่จอมเทียน และใจกลางเมืองพัทยา”

โดยพื้นที่ใจกลางเมืองพัทยา มีอัตราการขายสูงที่สุด 87.28% ตามมาด้วยพื้นที่จอมเทียน 79.49%  และพื้นที่ย่านนาจอมเทียน 74.12% ในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรีได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป็นจำนวนมาก หลายโครงการสามารถปิดการขายได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมริมชายหาดในพื้นที่วงศ์อมาตย์ และจอมเทียน เนื่องจากอุปทานคอนโดมิเนียมเหล่านี้ค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัด และมียูนิตรอการขายค่อนข้างน้อย

คาดการณ์ว่าตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยาในปี 2568 จะยังคงเป็นทำเลที่โดดเด่น และมีอุปทานเปิดขายใหม่อย่างคึกคักทั้งในพื้นที่ใจกลางพัทยา จอมเทียน นาจอมเทียน วงศ์อมาตย์ และคาดการณ์ว่าอาจมีคอนโดมิเนียม “Branded Residences” หรือคอนโดมิเนียม ระดับลักซ์ชัวรีเปิดขายใหม่ที่สร้างกระแสการพูดถึงซึ่งเป็นการพัฒนาโดยผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ  ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยากลับมาคึกคักอีกครั้ง

สอดคล้องกับ สมบัติ ชาญยุทธกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ในทำเลนี้มีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการจำนวนมากตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา และจากผลการสำรวจพบว่าเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อในทำเลนี้ เป็นทั้งกลุ่มนักลงทุน และพนักงาน ทำงานในนิคมอุตสาหกรรม มีรายได้เฉลี่ย 20,000-50,000 บาทต่อเดือน

ผนวกกับนักลงทุนจากประเทศจีนมีการขยายฐานการผลิตมายังนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี มากขึ้น จากอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า (EV), ซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนยานยนต์, ธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูงในอุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่การซื้อเพื่อการลงทุนมีอัตราค่าเช่าเฉลี่ย 3,500-9,000 บาทต่อหน่วย หรือ เฉลี่ย 5-7%

สำหรับห้องชุดขนาด 26-30 ตารางเมตร โดยความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าในทำเลอีอีซี มีสัดส่วนที่สูง อัตราการเช่าอพาร์ตเมนต์ และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ มีสัดส่วนเฉลี่ย 80-90%  สะท้อนถึงความต้องการที่พักอาศัยในทำเลนี้ยังมีอยู่ จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะซื้อเพื่อการลงทุนและปล่อยเช่า

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์