บ้านเพื่อคนไทยในมุมมองของ'ประทีป ตั้งมติธรรม'&กรณีศึกษาจากต่างประเทศ

บ้านเพื่อคนไทยในมุมมองของ'ประทีป ตั้งมติธรรม'&กรณีศึกษาจากต่างประเทศ

เปิดมุมมอง'ประทีป ตั้งมติธรรม'เจ้าพ่อวงการอสังหาฯ กับโครงการ 'บ้านเพื่อคนไทย'และประสบการณ์การดูงานโครงการบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อยในประเทศ ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย

กระแส'บ้านเพื่อคนไทย' โครงการที่รัฐบาลตั้งเป้าเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและกลางให้มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม ในมุมมองของประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เจ้าพ่อวงการอสังหาฯ ได้สะท้อนถึงประเด็นนี้อย่างน่าสนใจ ในฐานะที่เขาเคยผ่านการทำงานในหลายๆ โครงการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการเผชิญหน้ากับข้อจำกัดและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการพัฒนาโครงการบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อยและกลาง

ประทีปกล่าวว่า ข้อได้เปรียบสำคัญของรัฐบาลในการพัฒนาโครงการประเภทนี้ คือระยะเวลาในการพัฒนาและการดำเนินการที่ยาวนานถึง 99 ปี ซึ่งต่างจากภาคเอกชนที่มักจะ"จำกัด"ด้วยระยะเวลาเช่น 30 ปี ในการเช่า หรือการพัฒนาที่ต้องพิจารณาความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงินที่มีข้อ"จำกัด" ซึ่งการที่รัฐสามารถพูดได้ถึง 99 ปี ย่อมมีความได้เปรียบอย่างชัดเจนในการพัฒนาโครงการบ้านที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือได้มากขึ้น
 

ขณะเดียวกัน ประทีปได้กล่าวถึงประสบการณ์การเดินทางไปดูงานในหลายประเทศในอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ที่เห็นว่ามีเงื่อนไขการพัฒนาโครงการที่ง่ายกว่ามาก! เขายกตัวอย่างโครงการในฟิลิปปินส์ ที่มีการพัฒนาอาคารสูง 20 กว่าชั้น แต่พื้นที่จอดรถกลับมีเพียงชั้นเดียว หรือแม้แต่การไม่มีสวนในโครงการที่คนจนมักไม่ให้ความสำคัญเท่ากับโครงการที่มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเขามองว่าในประเทศไทย การพัฒนาโครงการบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือรายได้ปานกลางนั้น ยังมี"ข้อจำกัด"หลายอย่าง และการที่รัฐหรือหน่วยงานต่างๆ จะช่วยให้การพัฒนาโครงการเหล่านี้สามารถเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น จำเป็นต้องมีการ"ผ่อนคลาย"เงื่อนไขบางประการ

อีกมุมหนึ่งที่ดร.ประทีปพูดถึง คือ ความสำคัญของการให้"โอกาส"ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการเหล่านี้ เพราะเชื่อว่าภาคเอกชนมีศักยภาพในการลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาฯ ที่เหมาะสมกับตลาดบ้านในระดับนี้ โดยอาจใช้สิทธิประโยชน์จากบีโอไอ (BOI) เพื่อสนับสนุนการลงทุน และยกระดับมาตรฐานของโครงการให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่ดีขึ้น
 

ขณะที่ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ  บริษัท ศุภาลัย ก็เห็นว่าแนวคิด 'บ้านเพื่อคนไทย' เป็นเรื่องที่ดี ในเชิงการตลาดแล้ว การแยกเซกเมนต์ของที่อยู่อาศัยในตลาดที่มีการกำหนดราคาต่ำกว่าในตอนนี้ยังคงมีความคล้ายคลึงกับตลาดอพาร์ตเมนต์ให้เช่า จึง "ไม่ได้"รับผลกระทบโดยตรงจากภาคธุรกิจอสังหาฯ ทั่วไป แต่การที่จะทำให้โครงการเหล่านี้ประสบผลสำเร็จได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องพิจารณาถึงการใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนอย่างระมัดระวังและมีประสิทธิภาพสูงสุด

จากมุมมองดังกล่าวทำให้เห็นภาพชัดเจนถึงความท้าทายในการพัฒนาโครงการบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทย และความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมและยั่งยืน ทั้งในแง่ของการเข้าถึงแหล่งทุน การผ่อนคลายเงื่อนไขการพัฒนา และการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อให้โครงการเหล่านี้สามารถประสบความสำเร็จและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง