ทำไมการลดดอกเบี้ย กนง. ถึงยังไม่ช่วยเศรษฐกิจได้เต็มที่?

ทำไมการลดดอกเบี้ย กนง.  ถึงยังไม่ช่วยเศรษฐกิจได้เต็มที่?

หลายคนคงสงสัยว่าทำไม? แม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)จะลดดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้ง แต่มาตรการนี้กลับไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มที่!

หลายคนคงสงสัยว่าทำไม? แม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้ง รวมแล้วลดไปถึง 0.50% (50 สตางค์) แต่มาตรการนี้กลับไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มที่! ตามที่หลายฝ่ายคาดหวังไว้ โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้กู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคประชาชนที่ดูเหมือนจะได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยไม่ถึงครึ่งหนึ่ง

เรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในงานสัมมนาประจำปีของ 3 สมาคมวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย “แนวโน้มภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ และกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2025” ที่ ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวถึงการปรับลดดอกเบี้ยของ กนง. ที่แม้ลดลง 0.25% ในสองรอบ (16 ต.ค. 2567 และ 26 ก.พ. 2568) แต่เมื่อธนาคารพาณิชย์ 7 แห่งได้ส่งต่อการลดดอกเบี้ยไปให้ลูกค้าหรือภาคประชาชนรายย่อย กลับพบว่าไม่ถึงครึ่งเท่านั้น! ที่ถึงมือผู้กู้จริง

หลังจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. เมื่อวันที่ 16ต.ค.และ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งลดลงรอบละ 0.25% พบว่าในฝั่งธนาคารพาณิชย์ กลับส่งต่อการลดดอกเบี้ยให้ลูกค้าไม่เต็มจำนวน โดยดอกเบี้ย MLR (ดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้รายใหญ่) เฉลี่ยแล้วลดลงแค่ 16.5 สตางค์ในรอบแรก และ 12 สตางค์ในรอบที่สอง ส่วนดอกเบี้ย MRR (ดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้รายย่อย) ลดลงเฉลี่ยแค่ 14.6 สตางค์และ 7 สตางค์ ตามลำดับ ต่างจากการลดดอกเบี้ยในประเภท MOR (Minimum Overdraft Rate) ที่แม้จะลดเต็ม 25 สตางค์ตามที่ กนง. ประกาศ แต่ในทางปฏิบัติ MOR เป็นดอกเบี้ยสำหรับการเบิกเกินบัญชีที่มักใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งมีผู้ใช้ไม่มาก จึงแทบไม่ได้มีผลกระทบกับผู้กู้ส่วนใหญ่

คำถามสำคัญ ทำไมธนาคารพาณิชย์ไม่ส่งต่อการลดดอกเบี้ยทั้งหมดให้กับลูกค้า? ประเสริฐ สะท้อนว่า ธนาคารพาณิชย์ต้องการรักษาความสามารถในการทำกำไรจากการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งอาจทำให้พวกเขายังไม่อยากลดดอกเบี้ยลงมากเกินไป แม้ว่าผู้กู้จะคาดหวังว่าการลดดอกเบี้ยจาก กนง. จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุดก็ตาม
 

การที่ธนาคารเลือกส่งต่อการลดดอกเบี้ยเพียงครึ่งเดียวก็ทำให้แรงกระตุ้นจากการปรับลดดอกเบี้ยนี้ไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงต้องเผชิญปัญหาต้นทุนการก่อสร้างที่สูง รวมถึงอุปสรรคจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน

ประเสริฐ เสนอว่า ธปท. ควรมีบทบาทในการกำกับดูแลและส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามแนวทางการลดดอกเบี้ยให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยเฉพาะประเภท MLR และ MRR ในภาวะวิกฤติเช่นในขณะนี้ มีผลโดยตรงต่อผู้กู้รายย่อยและผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ หาก ธปท. ควบคุมให้การลดดอกเบี้ยนี้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้จริง จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุปได้ว่า เพื่อให้การลดดอกเบี้ยนโยบายจาก กนง. เกิดผลสูงสุด “แบงก์ชาติ” ควรเพิ่มบทบาทในการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ให้ออกมาตรการที่เป็นประโยชน์ต่อผู้กู้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะดอกเบี้ย MLR และ MRR ที่ส่งผลโดยตรงต่อภาคธุรกิจและประชาชน อีกทั้งควรกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ตระหนักถึงการส่งต่อผลประโยชน์อย่างเต็มที่ เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่กระทรวงการคลัง ดูแลธนาคารรัฐ เพราะท้ายที่สุด หากมาตรการต่างๆ ส่งผลไปถึงผู้กู้ได้จริง! จะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและส่งเสริมให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดินหน้าได้