วัยรุ่นวุ่นเน็ต อยากรู้ไหม ทำไมเขาถึงโพสต์?
ทำไมลูกของเราถึงชอบระบายความรู้สึกในโลกโซเชียลแทนที่จะพูดกับใครสักคน ?
แล้วจริงหรือไม่ที่พวกเขากำลังจะหนีจาก Facebook ไปรวมกันใน Twitter เพราะพ่อแม่ยังตามไปไม่ถึง?
ทำอย่างไรเด็กถึงจะเข้าใจว่า โลกเสมือนแห่งนี้มีความเสี่ยง?
ขณะที่คนรุ่นหนึ่งกำลังเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ หากคนอีกวัยหนึ่งกลับมองเป็นเรื่องธรรมดา และไม่ว่าจะถูกตั้งคำถามอย่างไรแต่ที่เหมือนกันคือความกังวลที่ผู้ใหญ่กำลังมีต่อการใช้สื่อโซเชียลมีเดียของเด็ก
เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกับสำนักพิมพ์ bookscape จัดทำโครงการขับเคลื่อนความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาวะเด็กและครอบครัวจัดงานเสวนาสาธารณะ และ workshop “ WHY WE POST: เข้าใจโลกใหม่ของวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต” เพื่อเข้าใจเครื่องมือและชุดทักษะในการทำงานกับวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต” จาก กูเกิ้ล (ประเทศไทย) จำกัด และ Youtube Thailand
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวตอนหนึ่งว่า การสนับสนุนสุขภาพเด็ก สังคม และระบบสื่อคือสิ่งที่ สสส.ให้ความสำคัญมานาน และเมื่อสื่อออนไลน์ คืออีกพื้นที่ซึ่งเด็กและเยาวชนให้ความสำคัญ สสส.จึงต้องขับเคลื่อนองค์ความรู้ใหม่ๆ ติดอาวุธทางปัญญา เพื่อให้เด็กมีสุขภาวะและรู้เท่าทันโลกเหล่านั้น
ทุกวันนี้สังคมที่เป็นกายภาพกับสังคมในโลกออนไลน์ ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และรายงานสุขภาพคนไทยปี 2562 ระบุว่า ทุกวันนี้คนไทยใช้เวลาในอินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 10 ชั่วโมง 5 นาทีต่อวัน ซึ่งสอดคล้องไปกับ ผลสำรวจของ We Are Social ซึ่งรายงานว่าประเทศไทยติดอันดับการใช้เวลาในอินเทอร์เน็ตสูงที่สุดในโลก 9 ชั่วโมง 38 นาทีต่อวัน เฉพาะการใช้สื่อสังคมออนไลน์
พ่อแม่ ผู้ปกครอง นักการศึกษา ผู้กำหนดนโยบาย นักกิจกรรมด้านเด็กและเยาวชน จึงต้องรู้เท่าทัน ช่วยป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันต่ออันตรายและความเสี่ยงในโลกยุคใหม่ที่มาพร้อมกับการใช้สื่อ เช่น การรังแกบนโลกไซเบอร์ (cyberbullying) การเสพติดโลกออนไลน์จนกระทบกับคุณภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากเครื่องมือใหม่ เพื่อทำงานร่วมกับเด็กและเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 4 สสส. กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “ความท้าทายใหม่เรื่องโซเชียลมีเดียกับเด็กเยาวชน” ตอนหนึ่งว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ใหญ่ทุกคนควรทำความเข้าใจคือ พฤติกรรมการใช้สื่อโซเชียลของวัยรุ่นเป็นเรื่องปกติที่เราเองก็เคยเป็น เช่นเดียวกับการเข้าสังคม การได้รับการยอมรับ ต้องการมีเพื่อน เพราะมนุษย์มีธรรมชาติเป็นสัตว์สังคม ต้องสื่อสารระหว่างกันตามธรรมชาติ
“เพียงแต่ยุคนี้มีเครื่องมือใหม่คือโซเชียลเน็ตเวิร์คในการเข้าสังคมเท่านั้นเอง แพลตฟอร์มนี้จึงไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความเข้าใจแบบนี้จะช่วยลดช่องว่างระหว่างวัย ลดความตึงเครียดระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นก่อนได้ เพราะการเข้าสังคมเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ประเด็นสำคัญคือผู้ใหญ่เราจะใช้สื่อโซเชียลร่วมกับเด็กอย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไร ซึ่งความเข้าอกเข้าใจและความเมตตา จะช่วยให้เรากับเด็กปรับตัวอยู่ร่วมกับโลกยุคใหม่ได้ดี”
พรรณราย โอสถาภิรัตน์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ประสานงานโครงการจัดตั้งกลุ่มวิจัยด้านสื่อดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ในอดีตมักมองโลกกายภาพว่าเป็นสิ่งจับต้องได้ ตรงข้ามกับสิ่งที่เกิดในโลกออนไลน์จับต้องไม่ได้ แต่ปัจจุบันไม่มีความแตกต่างระหว่างโลกสองใบนี้ โดยโลกออนไลน์ก็เป็นจริงพอๆ กับโลกออฟไลน์ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การศึกษาโซเชียลมีเดียจึงเป็นเรื่องทางสังคม พอๆกับที่เป็นเรื่องของการสื่อสาร ดังนั้นการศึกษาเรื่องสื่อในฐานะนักมานุษยวิทยาจึงไม่ได้เน้นเรื่องสื่อหรือสภาวะความเป็นสังคมเท่านั้น แต่ยังพูดถึงโซเชียลมีเดียในฐานะสถานที่อีกแห่งที่ผู้คนเข้าไปใช้ชีวิต
สำหรับคนทุกวันในความเป็นจริงเรายังใช้การสื่อสารแบบดั้งเดิมอยู่ ไม่ได้หมายความว่ามีแพลตฟอร์มใหม่ๆแล้วการสื่อสารแบบดั้งเดิมจะหายไป และสำหรับเด็กโลกโซเชียลคืออีกเครื่องเครื่องมือเพื่อแสดงความเป็นตัวตน พวกเขาเลือกแพลตฟอร์มและจัดความสำคัญในการสื่อสารแต่ละแบบ ในแต่ละสื่อ หรือแม้กระทั่งแพลตฟอร์มเดียวกันก็เลือกสื่อสารกันในแต่ละบริบท ขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์กับใคร
“วัยรุ่นยังมีการสร้างแอคเคาท์ในความสัมพันธ์หลายรูปแบบ เช่น การใช้แอคเคาท์เป็นบอท และสร้างโปรไฟล์เป็นแฟนคลับ และรู้ว่าเขาจะพูดอย่างไร มีปฏิสัมพันธ์อย่างไร ใครที่บอกว่าการเล่นสื่อเป็นเรื่องฉาบฉวยจึงไม่จริงนัก บางทีอาจเป็นทักษะที่ซับซ้อนของวัยรุ่นที่ผู้ใหญ่ต้องเข้าใจ”
ทั้งนี้โครงการวิจัย “How the World Changed Social Media” นำโดย เดวิด มิลเลอร์ ศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาแห่ง University College London และคณะ ซึ่งเป็นต้นทางของหนังสือ Why We Post: ส่องวัฒนธรรมโซเชียลมีเดียผ่านมานุษยวิทยาดิจิทัล ซึ่งเป็นฐานของการเสวนาในครั้งนี้ ไม่ได้เน้นไปที่การศึกษาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่เป็นการศึกษาสิ่งที่คนโพสต์และสื่อสารกันผ่านแพลตฟอร์มเหล่านั้น รวมถึงศึกษาว่าทำไมเราจึงโพสต์ และผลพวงของการโพสต์เป็นอย่างไร
วิจัยอ้างอิงจากพื้นที่ศึกษา 9 แห่ง ได้แก่ บราซิล ชิลี จีนเขตชนบท จีนเขตอุตสาหกรรม อินเดีย อิตาลี ตรินิแดด ตุรกี และอังกฤษ และเปรียบเทียบสิ่งที่พบในการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คในพื้นที่แต่ละแห่ง ในแต่ละหัวข้อ 10 ประเด็น อาทิ การศึกษาและคนหนุ่มสาวการงานและการค้า ความสัมพันธ์ในโลกออนไลน์และออฟไลน์,เพศสภาพ ความเหลื่อมล้ำ,การเมือง, ซึ่งได้รับผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป
ยกตัวอย่าง ในหัวข้อโซเชียลมีเดียต่อการศึกษา ซึ่งผลสำรวจที่ได้มีทั้งสองแบบคือ โรงเรียนในอินเดียใต้ที่นักเรียนมาจากครอบครัวรายได้ต่ำ ส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียในฐานะเครื่องมือเพื่อการศึกษาอย่างมาก ในขณะที่โรงเรียนสำหรับคนชั้นสูงพิจารณาการสั่งห้ามใช้โซเชียลมีเดีย เพราะถือว่าทำให้นักเรียนเสียสมาธิ
ขณะที่พื้นที่ศึกษาสองแห่งในจีนกลับให้ผลแตกต่างกันชัดเจน ในเขตอุตสาหกรรมจีน พบว่าหนุ่มสาวโรงงานจากชนบทมักไม่ค่อยใส่ใจผลการเรียนในระบบและการศึกษาระดับสูงของลูกๆ นัก ส่วนในชนบทจีนกลับตรงกันข้าม เพราะผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกมาก โดยพวกเขาเชื่อว่าผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการจะช่วยให้ลูกๆ มีชีวิตที่มั่นคงและสุขสบาย ในบริบทนี้ ทั้งผู้ปกครองและตัวนักเรียนเองมองว่าโซเชียลมีเดียส่งผลเสียต่อความก้าวหน้าทางการศึกษาและการเรียนรู้
ในหัวข้อความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน มีตัวอย่างหลายกรณีที่ทำให้เห็นว่าการใช้โซเชียลมีเดียในหมู่นักเรียนช่วยสร้างมิตรภาพที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โซเชียลมีเดียมักเป็นพื้นที่ปลอดสายตาผู้ปกครองที่คอยสอดส่อง เด็กๆ จึงมองว่ามันเป็นพื้นที่ที่ใช้พูดคุยกับเพื่อนได้ง่ายกว่า หากในเวลาเดียวกันการสื่อสารแต่ในโซเชียลก็ทำให้เกิดความขัดแย้งได้มากกว่าการสื่อสารต่อหน้าเกิดการอัพสเตตัสแบบอ้อมๆ ที่ทำให้คนที่เป็นเป้าหรือผู้รับสารไม่แน่ใจว่าสเตตัสนั้นสื่อถึงใคร ทำให้เกิดเหตุขัดแย้งและโต้เถียง นำไปสู่ความตึงเครียดมหาศาล โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นหญิง
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ได้บอกว่าอินเตอร์เน็ตหรือโลกโซเชียลส่งผลดีหรือผลร้ายกับเด็กมากกว่ากัน หากแต่ช่วยนำเสนอให้เห็นถึงการใช้ส่งผลอย่างไรในบริบทแต่ละท้องถิ่น โดยเฉพาะวัยผู้ใหญ่ที่กำลังเฝ้ามองเด็กรอบข้างใช้โซเชียลมีเดียด้วยความเป็นห่วง
พวกเขาเข้าใจโลกโซเชียลกับความเป็นไปของเด็กมากขนาดไหน?