“อนุทิน”ฟุ้ง WHO เชื่อมั่นไทยเป็นประเทศต้นแบบที่ 3
“อนุทิน”ฟุ้ง WHO เชื่อมั่นไทยเป็นประเทศต้นแบบที่ 3 นำร่องจัดกิจกรรมการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า
เมื่อวันที่ 25 เม.ย.2565 ที่ โรงแรม รอยัล ออคิด เชอราตัน โฮเต็ล แอนด์ ทาวเวอร์ส กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกิจกรรมการทบทวน การเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า (นำร่อง) หรือ Universal Health and Preparedness Review (UHPR) Pilot โดยมี ดร.สมิลา อัสมา (Dr. Samira Asma) ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก นพ.จอส ฟอนเดลาร์ (Dr.Jos Vandelaer) ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค คณะผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวม 200 คน ร่วมงาน
นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีการบริหารจัดการและรับมือกับสถานการณ์โควิด 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความมั่นคงด้านสุขภาพเป็นอันดับที่ 5 จากทั้งหมด 195 ประเทศ เป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศเดียวที่อยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย ที่มีความพร้อมในการรับมือการระบาดของโรคมากที่สุด เป็นผลจากการบูรณาการทำงานร่วมกัน มีการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขที่เกิดขึ้นทุกภาคส่วนของภาครัฐ และทุกภาคส่วนของสังคม (Whole-government and whole society response) ได้แก่ เครือข่ายภาคประชาชน อสม. ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ หน่วยงานด้านสาธารณสุข ภาคเอกชน และภาคธุรกิจอื่นๆ ผ่าน ศบค. ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของระบบป้องกันควบคุมโรคในประเทศไทยในการขับเคลื่อนกฎหมายการดำเนินงานตอบโต้ภาวะฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้ประเทศไทยก้าวผ่านช่วงวิกฤติมาได้
“ความสำเร็จที่ผ่านมาเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ความพร้อมในการจัดกาเวชภัณฑ์ การบริหารสถานพยาบาล แลกเปลี่ยนข้อมูล ช่วยเหลือ รวมถึงการบริจาคต่างๆ ที่ทำให้เราผ่านวิกฤตมาได้ จนทำให้องค์การอนามัยโลก(WHO) เชื่อมั่นประเทศไทยในการบริหารสถานการณ์โควิดภายใต้ความเข้าใจ ความพร้อม และความตั้งใจ”นายอนุทินกล่าว
ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส (Dr.Tedros Adhanom Ghebreyesus) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก จึงเชิญให้ประเทศไทยเป็นประเทศต้นแบบประเทศที่ 3 นำร่องจัดกิจกรรมการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า ในการรับมือการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ข้อเสนอแนะระหว่างประเทศสมาชิกขององค์การอนามัยโลก และไทยเป็นประเทศนำร่องที่จะได้เผยแพร่ประสบการณ์สู่สาธารณะในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก 2565 เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประเทศสมาชิก และเกิดการพัฒนาเครื่องมือและกลไกใหม่ รองรับวิกฤติด้านสาธารณสุขสำหรับใช้งานทั่วโลกในอนาคต
ด้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า การทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า เป็นการทบทวนอย่างครอบคลุมรอบด้าน ทั้งด้านสาธารณสุขและด้านอื่นๆ ซึ่งต้องใช้การตอบโต้จากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาชน โดยมีกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การฝึกซ้อมสถานการณ์สมมติ (Simulation Exercise) การสัมภาษณ์และประชุมกลุ่มย่อย, การพบผู้บริหารหน่วยงานระดับประเทศ และการตรวจเยี่ยมหน่วยงาน ระดับปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และความท้าทายของประเทศไทยในการรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในระยะที่ผ่านมา
ดร.สมิลา กล่าวว่า กิจกรรมทบทวนการเตรียมความพร้อมเหตุฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้าเป็นวิธีใหม่ในการทำงานร่วมกันของประเทศต่างๆ เพื่อปรับปรุงการรับมือเหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุขผ่านระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่ร่วมกิจกรรมนี้ ซึ่งในระหว่างภารกิจ 7 วันนี้ เราหวังว่าจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศไทยในการรับมือกับโรคโควิด 19 ที่มีประสิทธิภาพ และนโยบายด้านสาธารณสุขที่น่าประทับใจ
นพ.จอส กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยแสดงความเป็นผู้นำ โดยการนำร่องการทบทวนการเตรียมความพร้อมเหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือแบบใหม่เพื่อทำให้ประชาชนทั่วโลกปลอดภัยจากวิกฤตสาธารณสุข ผมเชื่อว่าประสบการณ์ที่เข้มข้นของประเทศไทยในการพัฒนาระบบสาธารณสุข และการรับมือต่อโรคโควิด 19 อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นบทเรียนอันล้ำค่าสำหรับประเทศอื่นๆ อย่างแน่นอน