1 มิ.ย.นี้ เลิกตรวจ ATK เฝ้าระวังโควิด-19 ยกเว้น 4 กลุ่ม ไม่รายงานผู้ติดเชื้อ

1 มิ.ย.นี้ เลิกตรวจ ATK เฝ้าระวังโควิด-19 ยกเว้น 4 กลุ่ม ไม่รายงานผู้ติดเชื้อ

สธ.แจ้งปรับระบบโควิด-19 เริ่ม 1 มิ.ย.นี้  เลิกตรวจ ATK เฝ้าระวัง ยกเว้น 4 กลุ่ม  รายงานยอดเฉพาะผู้ป่วย ไม่รายงานผู้ติดเชื้อ จ่อปรับลดระดับเตือนภัยโควิด-19 เหลือระดับ 2

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2565 นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด 19 ว่า สถานการณ์ของประเทศไทย วันนี้รายงานป่วยปอดอักเสบ 882 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 425 ราย และผู้เสียชีวิต 26 ราย ถือว่าลดลงต่อเนื่อง แต่ลดค่อนข้างช้าลง โดยผู้เสียชีวิตยังเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 โดยเฉพาะอายุ 70 ปีขึ้นไป ครึ่งหนึ่งไม่ได้ฉีดวัคซีน จึงรณรงค์กลุ่มเสี่ยงเสียชีวิตสูงให้ฉีดวัคซีนเข็มปกติและเข็มกระตุ้นเพื่อลดผู้เสียชีวิต ส่วนผู้ติดเชื้อยืนยันวันนี้รายงาน 3,854 ราย แต่ละวันอยู่ที่ประมาณ 4,000 ราย ถือว่าแนวโน้มลดลงแต่ค่อนข้างช้า

"ขณะนี้ยังคงสถานะการเตือนภัยโควิดระดับ 3 โดยเน้นกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ไม่เข้าสถานที่เสี่ยง เช่น ผับบาร์ คาราโอเกะ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 และผู้ที่รับวัคซีนไม่ครบ 3 เข็ม อย่างไรก็ตาม สัปดาห์นี้จะพิจารณาการปรับระดับเตือนภัยโควิด-19เป็นระดับ 2 ส่วนจะมีบางจังหวัดหรือทั้งประเทศต้องรอติดตามการพิจารณาอีกครั้ง และขอความร่วมมือช่วยกันป้องกันไม่ให้ระบาดเป็นวงกว้างกลับมาใหม่ โดยยังสวมหน้ากาก และเว้นห่างเช่นเดิม" นพ.จักรรัฐกล่าว

ผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิต ดีกว่าเส้นคาดการณ์ และอยุ่ในช่วงขาลงทั้งประเทศ แม้ช่วงนี้มีการเปิดภาคเรียน แต่ก็พบการระบาดในบางจังหวัดในบางโรงเรียนจำนวนไม่มากนัก โดยลักษณะการติดเชื้อเป็นการติดเชื้อในครอบครัว เพื่อน หรือเป็นกลุ่มก้อนบ้างในบางโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนประจำ โดยวัยเรียนต้องฉีดวัคซีนเพื่อไม่ให้ป่วยหนัก หากติดเชื้อมีอาการให้แยกออกไปรักษา แต่ไม่ต้องปิดโรงเรียน โดยเน้นแยกระยะห่างมากขึ้น

นพ.จักรรัฐ กล่าวอีกว่า ภาพรวมประเทศไทยตอนนี้สถานการณ์ลดลงคล้ายหลายประเทศในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งหลายประเทศปรับระบบรายงาน เนื่องจากการติดเชื้อลดลง เข้าสู่การผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยเน้นติดตามผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ใส่ท่อช่วยหายใจเป็นหลัก ดังนั้น ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ประเทศไทยจะมีการปรับระบบรายงานให้เข้ากับสถานการณ์ที่จะผ่อนคลายมากขึ้น ที่จะมีการเปิดผับบาร์ใน 31 จังหวัด หรือผ่อนคลายเรื่องอื่นๆ เพื่อจะได้วิเคราะห์ข้อมูลได้ชัดเจนมากขึ้น

“แจ้งให้ประชาชนทราบก่อนว่า ตั้งแต่ 1 มิ.ย.นี้ จะปรับจากการรายงานผู้ติดเชื้อรายวันเป็นรายงานเฉพาะผู้ป่วย โดยจะรายงานจำนวนผู้ป่วยรายวันแบบเฉลี่ย 7 วัน เน้นผู้ป่วยที่มีอาการเข้ารับการรักษระบบของรพ.ทั้งแบบผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก ส่วนผู้ป่วยอาการหนัก ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตยังรายงานทุกวัน รวมถึง อัตราการครองเตียงระดับ 2 และ3 ปัจจุบันอัตราครองเตียงอยู่ที่ 12.8 % ซึ่งการปรับระบบรายงานช่วง1-2 สัปดาห์แรกอาจจะติดขัดบ้าง”นพ.จักรรัฐกล่าว

นพ.จักรรัฐ กล่าวด้วยว่า แม้จะปรับมาติดตามผู้ป่วยหนักหรือมีอาการเป็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับการผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น แต่ย้ำว่ายังต้องเข้มมาตรการป้องกันส่วนบุคคล (Universal Prevention) โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ดูแลทั้ง 2 กลุ่มนี้ รวมถึงสถานที่เสี่ยง อย่างผับบาร์ คาราโอเกะ พนักงานจะต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่กระจายโรค

ส่วนในประชาชนทั่วไปเน้นการตรวจเฉพาะกลุ่มที่มีอาการป่วยเท่านั้น ดังนั้น ต่อไปบรรดาบริษัทสถานประกอบการ จึงไม่ต้องตรวจประจำสัปดาห์แล้ว เน้นเมื่อมีอาการป่วย เช่น ไข้ ไอ น้ำมูกไหล เจ็บคอ หอบเหนื่อย เป็นต้น จะได้นำเข้าระบบดูแลรักษาต่อไป รวมถึงยังต้องเจ้มมาตรการฉีดวัคซีน (Universal Vaccination) โดยเฉพาะผู้สูงวัยกลุ่มเสี่ยงสูง หากติดเชื้ออาจอาการหนักได้ ต้องรับเข็มกระตุ้น ส่วนผู้ที่ไม่เคยฉีดเลย พิจารณามาฉีดสักเข็มเพื่อป้องกันให้ได้ก่อน และรับเข็มสองตามมา

"ถ้าผ่อนคลายมาตรการมากขึ้นอาจพบการระบาด การติดเชื้อเป็นวงกว้างได้อีกพอสมควร ดังนั้น กลุ่มเสี่ยง 608 ต้องเน้นฉีดวัคซีนทุกเข็มอย่างต่อเนื่อง ส่วน ศบค.ออกข้อกำหนดให้เปิดผับบาร์ถึงเที่ยงคืน เริ่มวันที่ 1 มิ.ย.นี้ พนักงานต้องฉีดกระตุ้น ทำตามมาตรการ COVID Free Setting พนักงานตรวจ ATK ประจำสัปดาห์ จัดสิ่งแวดล้อมเพื่อลดความเสี่ยง การระบายอากาศ เมื่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.อนุญาต คนไปใช้บริการต้องมีภูมิให้พอ เมื่อติดเชื้อจะได้ไม่มีอาการป่วยหนัก โดยให้ฉีดเข็มกระตุ้นด้วย" นพ.จักรรัฐกล่าว

เมื่อถามถึงกรณีการไม่ต้องตรวจ ATK ทุกสัปดาห์  นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า สถานการณ์เข้าสู่การผ่อนคลายมากขึ้น จึงเน้นผู้ป่วยเป็นหลัก โดยตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. จะรายงานสถานการณ์จากฐานผู้ป่วย ไม่ใช่ฐานผู้ติดเชื้อ เพื่อเข้าสู่ระบบเฝ้าระวังในโรคที่ความรุนแรงลดลงแล้ว ซึ่งก่อนนี้เป็นโรคติดต่ออันตราย ต้องตรวจสอบว่าใครติดเชื้อบ้าง แต่ตอนนี้ติดเชื้อได้ เพราะฉีดวัคซีแล้ว ก็จะดูผู้ป่วยเท่านั้น

ดังนั้น การใช้ ATK ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ เช่น วัยทำงาน ความจำเป็นในการตรวจก็ลดลง ยกเว้น กลุ่มเสี่ยง 608 กลุ่มที่อาจแพร่ระบาดวงกว้างได้ง่าย ต้องตรวจประจำ โดยการตรวจ atk จะเหลือประมาณ 4 ข้อ คือ 1. ตรวจเมื่อมีอาการว่าใช่หรือไม่ 2. ตรวจสำหรับคนดูแลใกล้ชิดคนเสี่ยงสูง คือ ผู้ดูแลผู้สูงอายุและเด็กเล็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนอาจติดเชื้อเสียชีวิตได้ 3. สถานที่และกิจกรรมที่อาจมีการรวมตัวกัน และ 4. บุคคลสำคัญ