สธ.ย้ำรพ.จัดซื้อยาต้านไวรัสรักษาโควิด-19ได้ ไม่ใช่ประชาชนซื้อยาได้เอง
สธ.ย้ำรพ.จัดซื้อยาต้านไวรัสรักษาโควิด-19ได้เอง ไม่ใช่ประชาชนซื้อยาได้เอง “โมลนูพิราเวียร์”-“แพกซ์โลวิด” รักษาโควิด-19 มีผลวิจัยใช้เฉพาะในกลุ่มมีอาการ-มีปัจจัยเสี่ยง ยายังให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินไม่ถึงปี ไม่ทราบผลข้างเคียง จ่ายยาต้องเป็นตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2565 นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบให้โรงพยาบาลทุกสังกัด ทั้งรัฐและเอกชนทั่วประเทศ สามารถจัดซื้อยาต้านไวรัสรักษาโควิด-19ได้เองตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2565ว่า การที่มีประกาศให้ รพ.ซื้อยาต้านไวรัสได้เอง เพื่อการบริหารงบประมาณของแต่ละสังกัด ซึ่งที่ผ่านมา สธ.เป็นคนซื้อให้ จากนี้ก็ให้รพ.จัดซื้อจัดจ้างเองตามเหมาะสม
“ขอย้ำว่า การให้รพ.ซื้อยาได้เอง ไม่เท่ากับ ประชาชนซื้อยาได้เอง เพราะยาต้านไวรัสต้องจ่ายโดยแพทย์ตามแนวทางเวชปฏิบัติดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ไม่ใช่ว่าผู้ป่วยอาการน้อย ไม่มีความเสี่ยงแล้วจะไปขอซื้อยาในรพ. เพราะการวินิจฉัยโรคต้องเกิดจากดุลยพินิจของแพทย์”นพ.ธงชัยกล่าว
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า หลักการการรักษาโรคจำเป็นต้องเป็นไปตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ยกตัวอย่าง เป็นโรคเบาหวานก็ต้องให้ยารักษาเบาหวาน ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ตามมาตรฐานทางการแพทย์ เช่นเดียวกับโรคโควิด19 ก็ต้องรักษาตามแนวทางปฏิบัติตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ที่สำคัญยาต้านไวรัส ทั้งยาโมลนูพิราเวียร์ และยาแพกซ์โลวิด ตอนที่มีการทำวิจัยได้ทำในกลุ่มผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการ และมีปัจจัยเสี่ยง ดังนั้น หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงแล้วให้ยากลุ่มนี้ ก็มีคำถามว่า ผู้วิจัยไม่ได้ทำการศึกษาวิจัยแบบนั้น จะทำนอกเหนือจากนั้นหรืออย่างไร
“ขณะนี้เริ่มมีภาวะรีบาวด์ (Rebound) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์หายจากโควิดแล้วกลับมาบวกใหม่ แม้กินยาต้านไวรัส ประกอบกับทั้งยาโมลนูพิราเวียร์ และยาแพกซ์โลวิด มีการประกาศให้เป็นยาที่ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งใช้ไม่ถึงปี ก็ยังไม่ทราบถึงผลข้างเคียง การใช้ยาก็ควรต้องเป็นไปตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ หากแพทย์จ่ายยาไม่เป็นไปตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เรียกว่าจ่ายตามใจหมอ หรือตามใจผู้ป่วย หากเกิดเหตุอะไรขึ้นมา ผู้ป่วยอาจฟ้องร้องได้ ทางที่ดีที่สุดควรต้องจ่ายยาตามอาการ ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่มีผู้เชี่ยวชาญมีคณะกรรมการพิจารณาออกมาแล้วดีที่สุด” นพ.สมศักดิ์ กล่าว