ประณีตศิลป์แห่งแผ่นดินสยาม

ประณีตศิลป์แห่งแผ่นดินสยาม

จากต้นแบบโบราณราชประเพณี เรียงร้อยเส้นสีลวดลายตามขนบ ถ่ายทอดผ่านฝีมือช่างศิลปกรรมร่วมสมัย กว่าจะมาเป็นเครื่องประกอบอันงดงามสมพระเกียรติในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562

การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทยนั้นมีรูปแบบผสมผสานระหว่างพิธีกรรมความเชื่อของศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ อีกทั้งยังผสมผสานคติความเชื่อในประเพณีดั้งเดิมที่ประกอบขึ้นมาเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค และเครื่องราชภัณฑ์ในการสมโภชพระมหามณเฑียร อันเป็นการสะท้อนถึงอารยธรรมและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ

ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งนี้นอกเหนือจากความยิ่งใหญ่และเปี่ยมไปด้วยความหมายในแต่ละขั้นแต่ละตอนของการประกอบพระราชพิธีตามโบราณราชประเพณีแล้ว การรังสรรค์เครื่องประกอบในงานพระราชพิธี ยังถือเป็นการสืบทอดมรดกทางศิลปกรรม อันเป็นงานหัตถศิลป์ที่มีความประณีตบรรจง และเปี่ยมไปด้วยการสื่อความหมายอันเป็นมงคลเพื่อถวายพระเกียรติสูงสุด

  E63FCB5A-76D0-4DF5-8A0C-C6F641F2F5A8

  • พระกลศ ยอยศยิ่งฟ้า สู่พิธีสรงพระมุรธาภิเษก

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ประกอบด้วยคำสำคัญคำหนึ่ง นั่นคือ ‘อภิเษก’ แปลว่า ‘รดน้ำ’ การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจึงแปลความได้ว่า การรดน้ำเพื่อแต่งตั้งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน การนี้นอกจาก ‘น้ำ’ จะต้องมาจากแหล่งอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ภาชนะใส่น้ำก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“คนโท เรียกว่า พระกลศ ใช้สำหรับใส่น้ำพระพุทธมนต์ กรมศิลปากร สำนักช่างสิบหมู่ ได้รับการขออนุเคราะห์จากกระทรวงมหาดไทย ให้เป็นผู้ออกแบบ จัดทำต้นแบบ เราก็ออกแบบ และทำต้นแบบด้วยปูนปลาสเตอร์ ด้านหน้าเป็นตราสัญลักษณ์ อีกด้านหนึ่งเป็นตราของจังหวัด 77 จังหวัด มีฝาเปิดด้านบน”

กำพล จันทรังสี ผู้อำนวยการกลุ่มประณีตศิลป์ สำนักช่างสิบหมู่ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นในการออกแบบพระกลศ ในงานเสวนาเรื่อง ‘เครื่องประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก’ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา

“คิดแบบด้วยวิธีการแกะหินสบู่ วิธีโบราณ แบบหัวโขน แกะเป็นกระจัง ตาดอก แต่ละส่วน เมื่อทำตรงนี้เสร็จแล้วก็ส่งให้โรงงาน ทางกระทรวงมหาดไทยดำเนินการ แล้วก็หล่อด้วยดินกระรอก ดินเผา เคลือบอีกทีหนึ่ง เมื่อเสร็จแล้วเราก็เอามาเผาอีกทีหนึ่ง มีน้ำเคลือบพิเศษอีกชั้น ก่อนจะส่งไปยังจังหวัดต่างๆ”

พิธีการเบื้องต้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเมี่อวันที่ 6 เมษายน 2562 โดยมีพิธีจัดทำน้ำอภิเษกและน้ำสรงพระมุรธาภิเษกทุกจังหวัดทั่วประเทศ จากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วราชอาณาจักร 107 แห่ง 77 จังหวัด และในวันที่ 8 เมษายน มีพิธีทำน้ำอภิเษก ณ พระอารามหลวงประจำจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัด จากนั้นวันที่ 9 เมษายน มีพิธีเวียนเทียนสมโภชน้ำอภิเษก ณ พระอารามหลวงประจำจังหวัด และวันที่ 10 เมษายน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญคนโทน้ำอภิเษกจากแต่ละจังหวัดมาเก็บรักษาที่กระทรวงมหาดไทย

โดยในวันที่ 4 พฤษภาคมนี้ ตามหมายกำหนดการจะเป็นพิธีสรงพระมุรธาภิเษก ณ ชาลาพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน จากนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับน้ำอภิเษก ณ พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ขัตติยราชวราภรณ์และพระแสง ณ พระที่นั่งภัทรบิฐ

85BABD6A-665D-42CF-9B56-DC088588598C

 

  • ฟื้นเชิงช่าง คงเอกลักษณ์ พระกรัณฑ์ พระสุพรรณบัฏ

เครื่องประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่มีความสำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่ง คือ พระสุพรรณบัฏ ซึ่งในการจารึกพระสุพรรณบัฏเฉลิมพระปรมาภิไธย ดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกรประจำรัชกาลจะต้องมีการดำเนินการจัดสร้างพระกรัณฑ์และพระสุพรรณบัฎเป็นการเฉพาะ

“หลังจากได้รับมอบหมายจากสำนักพระราชวังให้ดำเนินการจัดสร้าง พระกรัณฑ์ พระสุพรรณบัฏ เป็นทองคำทั้งหมด รูปแบบมาจากโบราณ ผสมผสานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 7 รัชกาลที่ 9 พระกรัณฑ์เอาไว้ใส่ดวงพระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นทองคำลงยา ตอนแรกจะใช้เครื่องลงยาราชาวดี แต่เครื่องลงยาราชาวดีเป็นสีน้ำเงินทั้งหมด สีนกการเวก ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีสันหลากหลาย ”

พระกรัณฑ์ (กะ-รัน) แปลว่า ตลับ, ผอบ (ผะ-อบ) หรือ หีบ เช่นคำว่า ‘รัตนกรัณฑ์’ แปลว่า ‘ตลับเพชร’ หรือ ‘กรัณฑ์’ แปลว่า ‘หม้อใส่น้ำ’ เช่น หม้อใส่น้ำทิพย์ที่ใช้ในพระราชพิธีสรงพระมุรธาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรียกว่า ‘พระกรัณฑ์’ เป็นภาชนะที่มีฝาปิด ใช้บรรจุสิ่งที่สำคัญมากๆ

“การลงยาจะมี 3 แบบ ยาเย็น ยาอุ่น ยาร้อน แต่ละแบบไม่เหมือนกัน ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด รวบรัด ไม่สามารถลงยาร้อนได้ การครั้งนึ้จึงใช้วิธีลงยาอุ่น ซึ่งทั้งองค์พระกรันฑ์และพานรอง เป็นการทำแบบโบราณราชประเพณีทั้งหมด ลวดลายที่ใช้เป็นลายใบเทศ ตามรูปแบบที่สำนักพระราชวังได้ออกแบบมา”

สำหรับ พระสุพรรณบัฏ เป็นแผ่นทองคำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่จารึกพระนามพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป จะมีสองส่วน คือ คือหีบทีใส่พระสุพรรณบัฏ กับ พานรอง

“สิ่งของทั้งสองสิ่งนี้จะมีสองส่วน คือ พระกรัณฑ์พร้อมพาน แล้วก็มีหีบพระสุพรรณบัฏพร้อมพาน ในพระกรัณฑ์ จะมีแผ่นทองบรรจุดวงพระราชสมภพ ส่วนพระสุพรรณบัฏจะเป็นแผ่นทองจารึกพระนาม เวลาเปิด จะเปิดจากข้างบน มีฝาสวมลงไป”

เพื่อให้ชิ้นงานมีความประณีตงดงามสมพระเกียรติ กระบวนการทำงานจึงถูกแบ่งออกเป็น 9 ขั้นตอน เริ่มจากการออกแบบภาพรวม ต่อด้วยการออกแบบทีละชิ้น จากนั้นจึงทำแพทเทิร์นเช่นเดียวกับการตัดเย็บเสื้อผ้า แล้วนำแบบมาขึ้นรูปด้วยค้อน รวมถึงเครื่องมือโบราณที่สืบทอดต่อกันมา ก่อนจะเขียนลวดลายด้วยดินสอและปากกา

“เมื่อนำแบบมาติดที่ชิ้นงานแล้วก็ลงมือสลัก ใช้ความสามารถของช่างตอกสลักแบบโบราณ ไม่ใช่แกะ เพราะแกะจะทำให้ผิวของทองคำหลุดออกไป เราต้องทำให้ทองคำคงสภาพไว้เหมือนเดิม การแกะจะทำให้เกิดการสูญเสีย เราใช้วิธีสลัก คือ ตอกย้ำลงไป” ผู้อำนวยการกลุ่มประณีตศิลป์ สำนักช่างสิบหมู่ อธิบาย ก่อนจะเล่าต่อว่า เมื่อทำลายเสร็จแล้วค่อยเก็บรูปทรงให้ได้รูปสวยงามแข็งแรง ต่อด้วยขั้นตอนลงยา ซึ่งมี 2 ส่วน คือ ฝังอัญมณี กับ ฝังเพชร

“หีบพระสุพรรณบัฏจะมีฝังเพชรแล้วก็ลงยา ทำตามไกด์ไลน์ที่ให้มาว่า สีนี้ ลวดลายแบบนี้ ในเรื่องเส้นที่เรียบร้อย ช่างเขียนก็ปรับแบบใหม่ แล้วเอามาลงสี หีบพระสุพรรณบัฏเดิม พื้นส่วนมากจะเป็นพื้นแดง ลวดลายจะเป็นตัวยาสี ดอกสีแดง ส่วนไส้ยาสี ถ้าไม่ฝังด้วยอัญมณีก็จะเป็นลงยาสีขาว มีดอกสีชมพู ก้านสีน้ำเงิน สลับกับใบสีเขียว ตามหลักการของโบราณ”

อาจกล่าวได้ว่า เอกลักษณ์ไทยคือ การทำลายด้วยเส้นทองสลักกั้นยาสีของแต่ละสีไว้นั่นเอง หากเป็นยาร้อนเมื่อนำเไปเผาในอุณหภูมิสูง สีที่เป็นแร่จะละลาย ถ้าไม่มีทองคำกั้นก็จะซึมเข้าหากัน ใช้ไม่ได้ เส้นทองเส้นเล็กๆ นี้ จึงเป็นภูมิปัญญาและความพิเศษในการทำเครื่องยาสีแบบโบราณ

  4F2DC4B6-9661-4654-9773-99159CF25331

  • เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องหมายแห่งราชัน

เครื่องราชกกุธภัณฑ์ คือ เครื่องใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติตามโบราณราชประเพณีสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นพระราชาธิบดี ความมีอำนาจ ฐานันดรศักดิ์ และความชอบธรรมในการเป็นพระมหากษัตริย์ 

เครื่องราชกกุธภัณฑ์ ประกอบไปด้วย พระมหาพิชัยมงกุฎ สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทำด้วยทองลงยา ประดับนวรัตน์ พระแสงขรรค์ชัยศรี พระแสงศาตราวุธที่สำคัญ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ธารพระกร (ธารพระกรชัยพฤกษ์) ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ หุ้มทอง หัวและส้นเป็นเหล็ก คร่ำลายทอง วาลวิชนี (พัดและแส้) แสดงถึงพระราชภารกิจที่คอยปัดเป่าความทุกข์ให้กับประชาชน ฉลองพระบาทเชิงงอน หมายถึง แผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ เป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์

ในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์นั้น ‘มงกุฎ’ ถือเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการเป็นพระมหากษัตริย์ โดย ‘พระมหาพิชัยมงกุฎ’ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ทำด้วยทองคำลงยาราชาวดี ประดับเพชรและอัญมณี ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำเพชรจากอินเดียมาประดับที่ยอด และสร้างพระกรรเจียกจอน (เครื่องประดับหู) ทำให้มีความสูง 66 เซนติเมตร น้ำหนัก 7.3 กิโลกรัม สื่อความหมายว่า “เป็นของหนัก” เปรียบได้กับพระราชภาระอันใหญ่หลวงที่ทรงได้รับหลังจากการสวมมงกุฎนี้ ต้องทรงแบกรับทุกข์สุขของพสกนิกรทั้งประเทศ อันเป็นหน้าที่ที่มิอาจวางลงได้

 “พระมหาพิชัยมงกุฎ หนักมาก เป็นทองคำลงยา ประดับช่อดอกไม้ไหวด้วยเพชร 4 ทิศ ชั้นที่อยู่ตรงกระหม่อมของพระเศียร เรียก ชั้นเชิงบาตร เป็นลอมขึ้นไปถึงยอดจะเป็นหวายสาน เอาเครื่องทองมาใส่ ครอบไปทีละชั้น ลงยาเขียวแดงน้ำเงินกลัก มีลายรักร้อยแบบพิสดาร เป็นสุวรรณมาลัย กระจังประดับเพชร 4 ชั้น แล้วเป็นพระเกี้ยว เรียก ปลีต้น ตั้งแต่ชั้นนี้ไป สานด้วยหวาย ตรงนี้เป็นไม้ทองหลางกลึงไปถึงข้างบนต่อด้วยยอดทองแดง ทำกรวย ยอดแหลมประดับด้วยพุ่มข้าวบิณฑ์ ส่วนด้านข้างเรียกพระกรรเจียกจอน มีสายรัดพระชานุ”

ทั้งหมดนี้ไม่เพียงเป็นความงดงามตามโบราณราชประเพณี แต่ยังแสดงความสามารถอันน่าทึ่งของช่างศิลปกรรมไทย และการหลอมรวมจิตใจ ความอุตสาหะ ความรู้ความสามารถ ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสืบทอดศิลปะวิทยาการของแผ่นดินให้ดำรงความงดงามผ่านยุคผ่านสมัย

ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งนี้ ประชาชนทั่วไปจึงไม่เพียงได้ร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดี แต่ยังได้สัมผัสเอกลักษณ์อันเรื่อเรืองของงานศิลปกรรมไทยโบราณ ผ่านเครื่องใช้เครื่องประกอบในพระราชพิธี ซึ่งถือเป็นมรดกประณีตศิลป์แห่งแผ่นดินอันทรงคุณค่า เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่จะส่งผ่านความภาคภูมิใจไปยังคนรุ่งหลังต่อไป