ใส่ชุดอ๊าวหย่ายไปเที่ยว 'เกิ่นเทอ'

แปลงร่างเป็นสาวเวียดนาม ล่องเรือ ชมตลาดน้ำ ท่องเมืองสวยปากแม่น้ำโขง
ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม เป็นจุดหมายที่น่าสนใจสำหรับการท่องเที่ยวระยะสั้นๆ ประหยัดงบประมาณ แต่ได้เปลี่ยนบรรยากาศไปพบผู้คน บ้านเมือง อาหาร ภาษา และวิถีชีวิตที่แปลกตา นอกจาก โฮจิมินห์, มุยเน่, ดาลัด, ฮานอย และดานัง เมืองท่องเที่ยวหลักๆ คุ้นหูของเวียดนามแล้ว เกิ่นเทอ (Can Tho) เมืองปากแม่น้ำโขงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่มีมนต์เสน่ห์ไม่แพ้กัน
เกิ่นเทอ ได้รับฉายาว่าเป็นเมืองหลวงฝั่งตะวันตกของเวียดนาม มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศ และเป็นเมืองใหญ่ที่สุดบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (Mekong Delta) ตั้งอยู่ริมฝั่งทางใต้แม่น้ำเหิ่ว (Hau) ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง
ย้อนเวลากลับไปในยุคอาณาจักรเขมร ราวศตวรรษที่ 11 และ 12 เกิ่นเทอเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Kampuchia Krom’ เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจำปา กัมพูชา หลังจากนั้นจึงขยายดินแดนเข้ามาครอบคลุมพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
ต่อมาช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 ผู้ลี้ภัยชาวจีนได้อพยพเขามาตั้งรกรากหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์หมิง กระทั่งช่วงศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เกิ่นเทอได้ตกอยู่ใต้อาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส
ด้วยเป็นเมืองริมน้ำ เกิ่นเทอจึงเป็นเมืองหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องของการค้าขายทางน้ำ มีตลาดน้ำขายส่งขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำแห่งหนึ่งของเวียดนาม ด้วยมีน้ำอุดมสมบูรณ์พื้นที่โดยรอบถือเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญในภูมิภาคนี้
ตั้งใจมาสัมผัสวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นทั้งที สถานที่ที่จะทำให้เข้าถึงวิถีผู้คนได้ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘ตลาด’
ตลาดนํ้าไคราง (Cai Rang Floating Market) เป็นไฮไลท์สำคัญที่ต้องยอมปลุกตัวเองลุกขึ้นจากเตียงนุ่มๆ มาให้ได้ เพราะชั่วโมงค้าขายที่นี่ครึกครื้น คึกคักกันตั้งแต่เช้าตรู่ตี 4 จนถึงราว 10 โมงเช้า
ไครางเป็นตลาดน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองอยู่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง นึกถึงบรรยากาศตลาดเช้าบนบกทั่วไปในเมืองไทย ที่เห็นผู้คนมาจับจ่ายใช้สอยก่อนเริ่มวันใหม่ ตลาดน้ำไครางมีการซื้อขายกันจริงจังไม่แพ้กัน มีเรือลำเล็กใหญ่จอดอยู่กลางแม่น้ำจำนวนมาก รวมถึงปั้มน้ำมันที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำ
นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำบรรยากาศริมฝั่งน้ำและตลาดสดบนน้ำ เริ่มจาก ท่าเรือ Ninh Kieu ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองของนครเกิ่นเทอ ล่องมาที่ตลาดน้ำไครางใช้เวลาประมาณ 45 นาที แต่ละระยะถูกสะกดด้วยภาพการจับจ่ายใช้สอยแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น เรือเล็กจะไปจอดขนาบกับเรือใหญ่ แล้วขายอาหารและเครื่องดื่มให้กับพ่อค้าแม่ค้าบนเรือ หรือเรือร้านค้าแต่ละลำที่มีเสาห้อยเป็นสัญลักษณ์บอกว่าเรือลํานี้ขายอะไรบ้าง เท่าที่สังเกตเห็นส่วนใหญ่เป็นผลไม้ และผักนานาชนิด
ถัดจากตลาด เส้นทางน้ำพาลัดเลาะเข้าชุมชนคลายความวุ่นวายลงไปมาก โรงงานทำเส้นก๋วยเตี๋ยว (Rice Noodle Factory) เป็นอีกจุดน่าตื่นตา ภายในมีการสาธิตวิธีทําเส้นก๋วยเตี๋ยวทีละขั้นตอน และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวลองทำด้วยตัวเอง มีเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำเสร็จแล้ววางขายเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านได้
ปิดท้ายที่สวนผลไม้ซึ่งทำให้ลืมของขายบนเรือในตลาดไปเลย เพราะนอกจากการเดินชมวิธีการจัดการสวนแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถเก็บ แกะ กินผลไม้ตามฤดูกาลได้อย่างจุใจ (มีค่าเข้าชมสวนผลไม้) ทั้งหมดนี้ใช้เวลารวมๆ ประมาณ 3 ชั่วโมง ตั้งแต่ตี 5 ถึง 8 โมงเช้า เริ่มต้นเช้าวันใหม่กับแสงแรกของวัน แล้วส่งท้ายด้วยแสงแดดยามเช้าอ่อนๆ กำลังดี
สถาปัตยกรรมสีลูกกวาด
เกิ่นเทอ มีสถาปัตยกรรมสะดุดตาหลายแห่ง ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ที่นี่มีวัดจีนอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น Nam Nha Pagoda วัดจีนติดริมน้ำ Bình Thủy temple วัดจีนที่มีสถาปัตยกรรมตะวันตกผสมผสาน จนได้รับการยกย่องให้เป็นอนุสรณ์แห่งชาติสถาปัตยกรรมศิลปะ และ Phat Hoc Pagoda วัดจีนขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางสีแยกเมืองเกิ่นเทอ
นอกจากนี้ยังมีวัดเขมรอยู่จำนวนไม่น้อย นอกจากเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอมแล้ว เมืองนี้ยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ทำให้มีชาวกัมพูชามาตั้งรกรากอาศัยอยู่พอสมควร ยกตัวอย่างเช่น Munirensay Temple วัดเขมร ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ Phat Hoc Pagoda
แม้สีสันบนพื้นผนังของสถาปัตยกรรมได้รับการซ่อมแซมปรับปรุงจนหลายแห่งมีสีสันแปลกตาไปบ้าง แต่ยังคงรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมไว้อย่างดี เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีการผสมผสานของสีสันเก่าใหม่ กลมกลืนน่าหลงใหล
ถ้าพูดถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกบนสถาปัตยกรรม Binh Thuy Ancient House เป็นหนึ่งในบ้านโบราณ ไม่กี่แห่งที่หลงเหลืออยู่ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง กระทรวงวัฒนธรรมของเวียดนามได้ขึ้นทะเบียนให้บ้านโบราณแห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติอย่างเป็นทางการ ตัวบ้านยังคงอยู่ภายใต้การจัดการของคนในครอบครัวเดิม
Binh Thuy Ancient House ตั้งอยู่บนพื้นที่ราว 6 พันตารางเมตร ‘Binh Thuy’ ในภาษาเวียดนามแปลว่า ‘น่านน้ำที่สงบ’ ชื่อนี้ตั้งขึ้นตามชื่อคลองในท้องถิ่นที่ครั้งหนึ่งอดีตผู้นำจังหวัดได้ใช้เป็นที่หลบภัยจากพายุใหญ่
บ้านถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1870 โดยตระกูลท้องถิ่นที่มาตั้งรกรากตั้งแต่ช่วงปลายสตวรรษที่ 18 โดยใช้เวลาก่อสร้างกว่า 40 ปี แล้วเสร็จในปี 1911
การตกแต่งภายในแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ด้านหน้าตกแต่งสไตล์ยุโรปวินเทจ ใช้เป็นห้องนั่งเล่น ลวดลายของกระเบื้องโบราณตั้งแต่ยุคอาณานิคมยังคงดึงดูดสายตาให้เข้าไปมองในระยะประชิด
ส่วนกลางเป็นพื้นที่บูชาบรรพบุรุษ มีแท่นบูชาและรูปปั้นแกะสลักลวดลายต่างๆ อย่างละเอียด ส่วนด้านหลังปัจจุบันเป็นสวนกล้วยไม้ที่ยังคงให้ความร่มรื่นสบายตา
บ้านโบราณแห่งนี้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง ‘The Lover’ กำกับโดย Jean Jacques Annaud ที่เล่าเรื่องราวของ Marguerite Duras นักเขียนบทละคร ผู้กำกับภาพยนตร์ และนักเขียน ชาวฝรั่งเศสชื่อดัง เจ้าของผลงาน Un barrage contre le Pacifique (ฉบับภาษาไทยชื่อ ‘เขื่อนกั้นแปซิฟิก’ แปลโดย อำพรรณ โอตระกูล)
‘The Lover’ เองยังเป็นนวนิยายที่ทำให้ Duras เป็นที่รู้จัก ส่งให้เธอได้รับรางวัล Prix Goncourt รางวัลทางวรรณกรรมชิ้นสำคัญของฝรั่งเศส
ความโรแมนติกของบ้านหลังนี้นับเป็นส่วนผสมที่ช่วยเติมสีสันให้เกิ่นเทอมีเสน่ห์ในแบบฉบับของตัวเอง