เปิดวาร์ปนครที่สาบสูญ ตามรอยมรดกโลกแห่งนาโปลี  

เปิดวาร์ปนครที่สาบสูญ ตามรอยมรดกโลกแห่งนาโปลี  

ท่องเมืองสวยทางตอนใต้ของอิตาล่ี (ตอนที่ 1) จากทิโวลีสู่แคว้นกัมปาเนีย

......................................................

ถึงไม่มีไทม์แมชชีน หรือกระจกทวิภพ แต่นาทีที่ได้ยืนอยู่ท่ามกลางร่องรอยความรุ่งเรืองของเมืองแห่งยุคโรมันโบราณ ‘ปอมเปอี’ บอกเลยว่าเรื่องราวที่เคยผ่านตา ภาพผู้คนหนีตายจากลาวาร้อนทะลักจากภูเขาไฟวิสุเวียส ชวนขนลุกจริงๆ ขณะที่ความหรูหราของวิถีปอมเปอีเมื่อสองพันปีก่อนซึ่งจินตนาการได้จากซากอาคารบ้านเรือนที่ได้รับการบูรณะอย่างดีก็สมราคามรดกโลกของยูเนสโก

แน่ละ... ฉันไม่ได้หลับตาแล้วหายแวบมาอยู่ที่นี่ แต่ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิตามคำเชิญของ การท่องเที่ยวอิตาลี (National Italian Tourist Board) ร่วมกับ สายการบินไทย ที่ต้องการนำเสนอความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ของดินแดนทางตอนใต้  ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 ชั่วโมง ในห้องโดยสารชั้นธุรกิจ Royal Silk Class กับบริการที่เพียบพร้อมและเป็นส่วนตัว เรียกว่ากินอิ่มนอนอุ่น พร้อมรับเช้าวันใหม่กับประสบการณ์สุดประทับใจในอิตาลีทันทีที่ล้อแตะสนามบินลีโอนาโด ดา วินชี ฟีอูมิชิโน (Fiumicino Airport)

S__66265120

 

หรูหรา...วิลล่าแห่งทิโวลี

จากกรุงโรม เราเริ่มต้นย้อนเวลาปูพื้นประวัติศาสตร์โรมันกันที่ Villa Adriana หรือ Hadrian’s Villa  แหล่งโบราณคดีที่เมืองทิโวลี Tivoli วิลลาแห่งนี้เป็นแหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านนอกของกรุงโรม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 2 โดยจักรพรรดิ Hadrian แห่งโรมัน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999

S__66265119

ระหว่างทางเดินที่เผยให้เห็นภูมิทัศน์อันงดงาม อิฐเก่าๆ ทำให้ใครบางคนนึกไปถึงมรดกโลกอยุธยา ฉันว่าเจ้าของที่นี่ออกจะเจ้าสำราญกว่ามาก เพราะภายในพื้นที่กว่า 200 ไร่ เต็มไปด้วยร่องรอยของห้องอาบน้ำ โรงละคร และน้ำพุ ว่ากันว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่รวมองค์ประกอบที่ดีที่สุดของมรดกทางสถาปัตยกรรมของอียิปต์ กรีซ และกรุงโรม และเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมอีกหลายแห่งในยุคหลัง

เรื่องนี้ชัดเจนอยู่ในวงโค้งและ ‘น้ำพุ’ ของวิลล่าอีกแห่งที่เรามาถึงในช่วงบ่าย Villa d’Este ท่ามกลางสวนอันงดงามของเมืองในศตวรรษที่ 16 ได้รับการบรรยายว่า “เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันเงียบสงบ หรูหรา เพียบพร้อมไปด้วยความหลากหลายของรูปแบบทางสถาปัตยกรรมโบราณและแหล่งน้ำธรรมชาติที่ดีที่สุดในอิตาลี”

S__66265118

จากห้องภายในอาคารที่ประดับดาด้วยภาพเขียนสีทั้งบนผนังและเพดาน บริเวณระเบียงคือจุดชมวิวพาโนรามามองเห็นเมืองในหุบเขาได้อย่างสวยงาม ทางเดินไปยังสวนขนาดใหญ่ที่ออกแบบโดยจิตรกรและสถาปนิก Pirro Ligorio เรียงรายไปด้วยน้ำพุ แต่ที่ถือเป็นมุมมหาชนก็คือ น้ำพุสไตล์บาโรกขนาดใหญ่ Fontana dell’Ovato  และน้ำพุแห่งเนปจูน ในข้อมูลบอกว่าครั้งหนึ่งวิลลาแห่งนี้เคยอยู่ในสภาพทรุดโทรม แต่ภายหลังก็ได้รับการบูรณะให้กลับมาสวยงาม ใช้เป็นสถานที่แสดงงานศิลปะ และดนตรี เพิ่มเติมชีวิตดีดีให้กับชาวทิโวลี

 

ต้นตำรับพิซซ่านาโปลี

ตามความตั้งใจที่พกมาจากกรุงเทพฯ เรามุ่งหน้าลงใต้ไปยังเมืองเนเปิลส์ (Naples) หรือ นาโปลี (Napoli) ในภาษาอิตาลี เมืองหลวงแห่งแคว้นกัมปาเนีย (Campania) ที่นอกจากจะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมแล้ว ยังมีชื่อเสียงในเรื่องศาสตร์การทำอาหาร

เช่นนั้น...หากอยากจะบอกกับใครๆ ว่า “มาถึงแล้ว” ย่อมไม่มีอะไรดีไปกว่า...การลิ้มรสพิซซ่าที่ได้ชื่อว่ามีต้นกำเนิดจากนาโปลี และยังได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมด้วย

แต่แค่ ‘ชิม’ อาจจะธรรมดาไปสักหน่อย ทริปนี้เราไปเวิร์คช็อปการทำพิซซ่ากันที่ Vera Pizza Napoletana ที่นี่มี pizza master หรือ ‘pizzaiuolo’ มาสอนขั้นตอนการทำพิซซ่าแบบตัวต่อตัว ว่ากันว่าคนที่จะได้เป็น pizzaiolo ต้องรู้เทคนิคการนวดแป้งและฝึกมานานเป็นปี เปรียบได้กับตำแหน่ง Gondolier ผู้แจวเรือกอนโดล่าที่ต้องใช้เวลาในการฝึกปรือจนวิชาแก่กล้า

S__66289675

 

นักเรียนจากเมืองไทยที่ถนัดปั้นข้าวเหนียวมากกว่านวดแป้ง เริ่มต้นวิชาพิซซ่ากันตั้งแต่การผสมแป้งโด (dough) ก่อนจะค่อยๆ นวดด้วยมือ แผ่แผ่นแป้งให้บาง ใส่ส่วนผสมต่างๆ จนนำเข้าไปอบในเตาหิน ใช้เวลากว่าชั่วโมงกว่าจะได้รับประทานฝืมือตัวเอง ซึ่งขั้นตอนสุดท้ายนี้ต้องบอกว่าเร็วมากนับเป็นนาทีกันเลยทีเดียว

อินถึงขั้นนี้แล้วคงต้องอธิบายกันสักหน่อยว่า อย่างไรถึงจะเรียกว่า พิซซ่านาโปลีแท้ๆ อย่างแรก แป้งจะประกอบด้วยแป้งข้าวสาลี ยีสต์ธรรมชาติ เกลือและน้ำ ต้องนวดและรีดด้วยมือไม่ให้หนากว่า 3 มม. หน้าพิซซ่าต้องใช้มะเขือเทศซานมาซาโน San Marzano tomatoes และ mozzarella di bufala Campana จากนั้นต้องอบในเตาอบหินใช้ฟืนทำจากไม้โอ๊ค เมื่อสุกแล้วจะได้พิซซ่าบางกรอบมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน

S__66289673

สำหรับพิซซ่ายอดนิยมของที่นี่คือ Margherita ประกอบด้วยมะเขือเทศและมอสซาเรลลาชีสจากแคว้นกัมปาเนีย โรยหน้าด้วย Basil หรือใบโหระพา และน้ำมันมะกอก  ชื่อนี้มีที่มาจากราชินี Margherita ของอิตาลี ที่ได้เสด็จมาเข้าเยี่ยมชม Pizzeria ในเนเปิลส์ เจ้าของร้านจึงได้ทำพิซซ่าถวายฯ โดยเลือกวัตถุดิบสามสี แดง ขาว เขียว ตามสีของธงชาติอิตาลี ผลตอบรับดีเกินคาด สมเด็จพระราชินีทรงโปรดมาก ทำให้พิซซ่าสไตล์เนเปิลส์กลายเป็นของคู่บ้านคู่เมืองไป

 

ปอมเปอีที่โลกไม่ลืม

ถึงรสชาติของพิซซ่านาโปลีจะติดอยู่ที่ปลายลิ้น แต่ตอนนี้ขอให้ลืมเรื่องอาหารการกินไปก่อน เพราะเรากำลังเข้าสู่โหมดความรู้ ว่าด้วยประวัติศาสตร์อันน่าสะพรึงของนครโบราณปอมเปอี (Pompeii)

S__66289676

ปอมเปอี ตั้งอยู่บริเวณเชิงภูเขาไฟวิสุเวียส ในอดีตคือเมืองท่าทำเลทองที่เอื้อต่อการทำการค้าและการเกษตร ถูกผนวกรวมกับอาณาจักรโรมันในช่วง 80 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 2099 ปีที่แล้ว ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุจากลาวาภูเขาไฟ ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นแหล่งปลูกต้นองุ่นและมะกอก มีผู้คนอาศัยอยู่นับหมื่นคน และยังถือเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของไฮโซโรมันอีกด้วย

เมื่อผ่านเข้ามาถึงด้านในปอมเปอีซึ่งสถานะปัจจุบันคือแหล่งโบราณคดีสำคัญของโลก จุดแรกที่แสดงให้เห็นสัญลักษณ์ของความเป็นโรมันก็คือ อัฒจรรย์วงโค้งขนาดใหญ่แบบในกลาดิเอเตอร์ ที่ซึ่งได้กลายเป็นจุดรวมพลเช็คอินของนักท่องเที่ยวไปโดยปริยาย

S__66289677

ลึกเข้าไปในนครที่สาบสูญ ทางเดินปูด้วยหินขนาดใหญ่นำทางสู่อาคารบ้านเรือนที่จัดแบ่งเป็นสัดส่วน คั่นด้วยถนนเป็นล็อกๆ แสดงให้เห็นถึงการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ สภาพอาคารที่ยังหลงเหลือแสดงให้เห็นรสนิยมการใช้ชีวิตของคนที่นี่ ไม่ใช่แค่ที่พักอาศัยธรรมดา แต่ยังมีทั้งคฤหาสน์ ร้านค้า วิหาร ลานจัตุรัสฟอรัม โรงละคร รวมทั้งสถานบันเทิงเริงรมย์ที่เชื่อกันว่าเป็น ‘ซ่องโสเภณี’ อีกด้วย

บางหลังใหญ่โตและอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ มีห้องโถง ห้องนอน ห้องอาหาร สวน สระ น้ำพุ ท่อระบายน้ำ รวมถึงสุขา บางแห่งยังคงมีโมเสกและผนังปูนกับร่องรอยภาพเขียนหลากสีสัน และเพราะภาพเขียนนี่แหละที่ทำให้อาคารหลังหนึ่งที่เรียกว่า ‘ลูปานาร์แห่งปอมเปอี’  (Lupanar of Pompeii) ได้รับการแปะป้ายว่าเป็นแหล่งขายบริการทางเพศในยุคโรมัน เนื่องจากพบภาพเขียนสีการร่วมเพศ สันนิษฐานว่าครั้งหนึ่งน่าจะเคยเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของบรรดานักธุรกิจและนักการเมืองผู้มั่งคั่งก่อนที่นครแห่งนี้จะจมอยู่ใต้กองเถ้าถ่านภูเขาไฟที่ระเบิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.​ 79

และเพราะเมืองทั้งเมืองถูกซ่อนไว้ใต้ลาวานานกว่าพันปี ทำให้ไม่มีใครรู้จักปอมเปอี กระทั่ง ค.ศ. 1748 ที่เริ่มการขุดค้นอย่างจริงจังจนพบเมืองทั้งเมือง เรื่องราวของนครที่สาบสูญจึงได้รับการเปิดเผย หลักฐานที่ค้นพบหลังจากนั้นไม่ได้มีเพียงสถาปัตยกรรมและศิลปวัตถุต่างๆ แต่ยังมีร่างของชาวเมืองที่ห่อหุ้มด้วยลาวาในอิริยาบถสุดท้ายของชีวิตด้วย

บันทึกไว้ว่าการค้นพบครั้งที่สำคัญนี้เกิดขึ้นในปี 1863 เมื่อ กูวเซปเป้ ฟิโอเรลลี่ ได้ค้นพบชิ้นส่วนของชาวปอมเปอีที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิดของภูเขาไฟ ซึ่งชิ้นส่วนดังกล่าวได้เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาจนเหลือแต่โพรงภายใต้ขี้เถ้าภูเขาไฟ ทางคณะผู้สำรวจจึงเจาะรูเล็กๆ แล้วหยอดปูนปาสเตอร์ลงไป เมื่อปูนแห้งก็ได้ออกมาเป็นรูปร่างของมนุษย์ที่เสียชีวิตในอิริยาบถที่ทำให้รู้ว่าพวกเขากำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ในช่วงเวลาสุดท้าย และด้วยโศกนาฏกรรมและความมหัศจรรย์ของปอมเปอี ทำให้เมืองนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมื่อปี 1997

s_10

ฉันใช้เวลาเล็กน้อยยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับความสูญเสียในครั้งนั้น และชื่นชมมรดกที่พวกเขาได้ทิ้งไว้ให้กับโลกยุคปัจจุบัน   

 

สง่างาม...พระราชวังยุคบาโรก

เมืองนาโปลีได้ชื่อว่าเป็นเเหล่งกำเนิดของสถาปัตยกรรมในยุคกลาง ทั้งในเเบบฟื้นฟูศิลปวิทยาและบาโรก และหนึ่งในศิลปสถาปัตยกรรมยุคบาโรกที่ต้องหาโอกาสไปชมก็คือ พระราชวังกาแซร์ตา (Royal Palace of Caserta) พระราชวังที่ประทับของพระมหากษัตริย์แห่งเนเปิลส์ราชวงศ์บุร์บง (Bourbon)

พระราชวังแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1997 ในฐานะ “งานชิ้นเลิศของยุคบาโรก ที่ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างในการสร้างความลวงตาและพหุทัศน์ทางสถาปัตยกรรม”

S__66289666

การก่อสร้างพระราชวังกาแซร์ตาเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1752 สำหรับพระเจ้าชาลส์ที่ 7 แห่งเนเปิลส์ ผู้ทรงทำงานอย่างใกล้ชิดกับสถาปนิกลุยจี วันวีเตลลี มีการบันทึกไว้ว่าเมื่อทอดพระเนตรเห็นแบบจำลองสำหรับพระราชวัง พระเจ้าชาลส์ทรงเต็มตื้นไปด้วยพระอารมณ์ น่าเสียดายที่พระองค์มิได้มีโอกาสบรรทมในพระราชวังแม้แต่เพียงคืนเดียว พระเจ้าชาลส์ทรงสละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1759 เพื่อไปเป็นพระมหากษัตริย์สเปน โครงการดำเนินต่อมาโดยตกทอดสู่พระราชโอรสองค์ที่สามและผู้ครองเนเปิลส์ต่อมาคือ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 4 แห่งเนเปิลส์

S__66289670

พระราชวังแห่งนี้ประกอบด้วยห้อง 1,200 ห้อง รวมทั้งโรงละครใหญ่ เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Star Wars ปี 2532 และ 2545, Mission impossible 3, Angels & Demons ปัจจุบันได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดให้ผู้คนที่สนใจเข้าชมความงามของแต่ละห้องซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตร รวมไปถึงสวนสวยขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหลังอีกด้วย

นอกจากประสาทราชวัง มรดกอันยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งในยุคนั้นก็คือ สะพานส่งน้ำแบบโรมัน เรามีโอกาสไปชม สะพานส่งน้ำวันวีเตลลี หรือ สะพานส่งน้ำคาโรไลน์ (queduct of Vanvitelli หรือ Caroline Aqueduct) ซึ่งเป็นสะพานส่งน้ำที่สร้างขึ้นเพื่อส่งน้ำสำหรับการใช้สอยที่พระราชวังกาแซร์ตาและรีสอร์ตซานลูซีโอ แหล่งน้ำที่ใช้ส่งมาจากตีนเขาตาบูร์โนจากบ่อน้ำพุธรรมชาติที่ฟิซโซในบุชชาโนไกลออกไปราว 38 กิโลเมตร

สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นในยุคสมัยของพระเจ้าชาลส์ที่ 7 แห่งเนเปิลส์ และออกแบบโดยสถาปนิกลุยจี วันวีเตลลี เช่นเดียวกัน ซึ่งชื่อของสะพานในเวลาต่อมาก็ตั้งตามชื่อสถาปนิกนั่นเอง

S__66289671

สำหรับจุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่แวะชมก็คือสะพานช่วงที่อยู่ในสภาพดีที่เรียกว่า ‘สะพานทูฟา’ ยาว 529 เมตร ซึ่งเชื่อมหุบเขามัดดาโลนี ระหว่างเขาโลกาโนทางตะวันออกกับเขาการ์ซาโนทางตะวันตก สถาปัตยกรรมที่เห็นมีลักษณะเป็นแนวโค้งซ้อนสามชั้นสูงกว่า 50 เมตร อลังการสมกับป้ายทะเบียนมรดกโลก และแน่นอนว่า...เพื่อนที่เมืองไทยต้องได้เห็นภาพนี้

สำหรับฉัน นี่คืออิตาลีในมุมต่างที่ชวนให้เราค่อยๆ ดื่มด่ำ ไม่ต่างจากไวน์ดีๆ ที่หาชิมได้ในนาโปลี และยังถือเป็นออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อยสำหรับเส้นทางล่องใต้สู่ปลายรองเท้าบูทในตอนต่อไป

  S__66289669

 

การเดินทาง

จากสนามบินสุวรรณภูมิ มีสายการบินไทยบินตรงสู่สนามบินเลโอนาร์โด ดา วินซี (Leonardo da Vinci) หรือที่เรียกกันว่า สนามบินฟิวมิชิโน (Fiumicino) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโรมประมาณ 40 กิโลเมตร จากนั้นสามารถใช้บริการรถไฟด่วนจากสนามบินถึงสถานีรถไฟใจกลางกรุงโรมประมาณ 30 นาที หรือหากใช้บริการแท็กซี่จากสนามบิน ราคา(ไม่รวมสัมภาระ) ขึ้นอยู่กับระยะทางและการติดขัดของการจราจร

การเดินทางจากโรมสู่เมืองทิโวลี มี One Day Trip แบบไปเช้าเย็นกลับ หรือใช้บริการรถบัสที่สถานี Ponte Mammolo metro station

การเดินทางจากโรมไปปอมเปอี วิธีที่นิยมและง่ายที่สุดคืนนั่งรถไฟไปลง Napoli Central แล้วต่อรถไฟท้องถิ่น Circumvesuviana ไปลงสถานี Pompeii Scavi Station ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะใช้บริการรถไฟ Trenitalia ซึ่งเป็นของรัฐบาล มีทั้งแบบรถไปธรรมดาและรถไฟความเร็วสูง หรือจะใช้รถไฟความเร็วสูงของเอกชน Italo โดยสามารถซื้อตั๋วได้ทางออนไลน์ https://www.italotreno.it/en