Unseen@อยุธยา ย้อนเวลากับ‘เผ่าทอง’

เรื่องราวของโบราณสถานสำคัญสวยงามทรงคุณค่า ที่หลงหูหลงตาซุกซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ ในอาณาจักรยิ่งใหญ่ในอดีต
อยุธยา เป็นจังหวัดที่เป็นราชธานีของประเทศไทยในอดีต เต็มไปด้วยวัดวาอารามโบราณสถานสวยงามมากมาย และแม้จะเคยเดินทางท่องเที่ยวมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษที่ได้ร่วมเดินทางกับนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์อย่าง อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ผู้รู้ที่จะพาเราไปสัมผัสกับเรื่องราวเบื้องหลังโบราณสถานสุดอันซีนซึ่งน้อยคนนักจะรู้จัก แน่นอนว่า...นอกจากแง่มุมด้านประวัติศาสตร์ศิลปะที่น่าตื่นตาตื่นใจแล้ว เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยคือเสน่ห์ของการเดินทางครั้งนี้
วัดส้ม ปรางค์งามแห่งกรุงศรี
พระปรางค์องค์เล็กทว่าสวยงามวิจิตร คือจุดแรกที่อาจารย์เผ่าทอง ในบทของผู้ดำเนินรายการ ‘เปิดตำนานกับเผ่าทอง’ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง PPTV 36 ได้เริ่มต้นเล่าถึงวัดส้ม วัดเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ก่อนพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ใกล้กับคลองท่อ (คลองฉะไกรใหญ่) ทางด้านทิศตะวันตก จ.พระนครศรีอยุธยา
ย้อนความไปในปีพุทธศักราช 1800 พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ สถาปนาอาณาจักรสุโขทัย อีก 39 ปีต่อมา พ.ศ.1839 พระยาเม็งราย สถาปนานครเชียงใหม่ สองปีต่อมา พ.ศ.1841 เจ้าฟ้างุ้มสถาปนาหลวงพระบางเป็นราชธานีของลาว และในปี พ.ศ.1893 จึงเกิดอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา หลังจากอาณาจักรสุโขทัย 93 ปี
ดินแดนแถบนี้เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขมร ก่อนพ.ศ. 1800 มีกษัตริย์สำคัญอยู่ 2 พระองค์ คือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างปราสาทนครวัด และพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างปราสาทบายน มีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล ทิศตะวันออกจดอ่าวตังเกี๋ย ทิศตะวันตกจดอ่าวเมาะตะมะ (หลักฐานสำคัญคือชัยสิงหปุระ ปราสาทเมืองสิงห์ ที่ จ.กาญจนบุรี) มีพื้นที่ติดทะเลทั้งสองฝั่ง ทิศเหนือไปถึงศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย (หลักฐานคือพระปรางค์ศิลาแลง วัดแก้วจันทร์) แต่ไม่ได้แผ่ขึ้นไปอาณาจักรล้านนา เพราะไม่สามารถปกครองดูแลได้ทั่วถึง ทิศใต้ถึงเพชรบุรี (หลักฐานคือวัดกำแพงแลง มีลักษณะเหมือนพระปรางค์สามยอดที่จ.ลพบุรี) พ.ศ.1762 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สวรรคต อำนาจของกัมพูชาเริ่มเสื่อมถอย 38 ปีต่อมามีกษัตริย์ปกครองต่ออีก 4 รัชกาล
“พระเจ้าอู่ทองมาถึงอยุธยาตอน 33 พรรษา มาตั้งหลักแหล่งพำนักที่ ต.เวียงเหล็ก (ปัจจุบันเป็นวัดพุทไธสวรรค์) ทางตอนใต้นอกเกาะอยุธยา สร้างบ้านเป็นชุมชนมีไพร่พลบริวาร ใช้เวลา 3 ปีสำรวจเส้นทาง แล้วสถาปนากรุงศรีอยุธยา โดยเอาหนองโสนบึงพระรามในเกาะตอนกลางค่อนไปทางบนเป็นศูนย์กลางสร้างพระราชวัง อยุธยาเป็นเกาะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอน ตอนบนเป็นแม่น้ำลพบุรี ข้างซ้ายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ข้างขวาเป็นแม่น้ำป่าสัก แม่น้ำสามสายไหลมาบรรจบตรงทางใต้สุดของเกาะอยุธยาที่ป้อมเพชร ใกล้กับวัดสุวรรณดาราราม พระเจ้าอู่ทองไม่ได้เริ่มต้นสร้างสถาปัตยกรรมในอยุธยาทั้งหมด แต่มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่มีมาก่อน เช่น พระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดของอยุธยา พระประธานในวิหารวัดพนัญเชิง มีจารึกหลักฐานว่าสร้างก่อนพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี”
สำหรับวัดส้มเป็นปรางค์ขนาดเล็กก่อด้วยอิฐ ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น สวยงามที่สุดในกรุงศรีอยุธยา อ่อนช้อยวิจิตรพิสดาร มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพระปรางค์ที่วัดศรีสวาย, วัดพระพายหลวง ในเขตเมืองเก่า จ.สุโขทัย
"พระเจ้าอู่ทองสวรรคตอายุ 55 หลังปกครองกรุงศรีอยุธยา 19 ปี ต้องสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับอาณาจักรใหม่ สุโขทัยที่เกิดก่อนอยุธยามีสินค้าออกที่สร้างความมั่งคั่งคือ เครื่องปั้นดินเผาสังคโลก เป็นช่วงที่ประเทศจีนปิดประเทศพอดี ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะใช้เครื่องปั้นดินเผาของจีนในพิธีกรรมสำคัญ ใส่พระบรมสารีริกธาตุ ใส่พระธาตุบรรจุในพระเจดีย์ ใส่อัฐิธาตุของบรรพบุรุษ ส่วนฟิลิปปินส์อินโดนีเซียจะเอาฝังลงไปกับศพ เชื่อว่าเมื่อคนตายฟื้นจะได้ใช้ภาชนะนี้ดำรงชีวิตต่อไป พอจีนปิดประเทศ เขาก็ซื้อเครื่องสังคโลกไทยไปใช้แทน สุโขทัยก็ร่ำรวย ส่งเครื่องปั้นดินเผาทั้งหมด ล่องแม่น้ำผ่านเกาะอยุธยา ไปออกอ่าวไทย ไปมาเลเซีย ได้อย่างเสรี
พระเจ้าอู่ทองก็เอาเกาะอยุธยาขวางเส้นทางการขนส่งคมนาคมของสุโขทัย ต้องเสียค่าผ่านทาง มีหลักฐานว่า ปิดแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยโซ่เหล็กขึงใส่รอก เวลาปิดก็กว้านให้มันลอยตัวขึ้นมาปริ่มๆ น้ำ เรือพายพายข้ามได้ แต่ถ้าเป็นเรือใหญ่ขนสินค้าท้องเรือจะติดโซ่ ผ่านไม่ได้ เมื่อเสียภาษีแล้วก็กว้านโซ่นั้นให้จมลึกลงไปให้เรือผ่านได้ ทำให้สุโขทัยต้องเสียภาษีอย่างมากไม่สามารถทำการค้าต่อไปได้"
ความโดดเด่นของพระปรางค์วัดส้ม คือองค์เจดีย์มีลักษณะเหมือนฝักข้าวโพด บันไดค่อนข้างชัน ทำให้ต้องก้มศีรษะไต่ขึ้นไปเหมือนทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ข้างใน ลายปูนปั้น มีลายกลีบบัว ลายดอกไม้ ลายบัวหงาย ลายกลีบบัวคว่ำลง เรียกว่า ‘บัวถลา’ ตรงซุ้มหน้าบันทำเป็นพญานาค 5 เศียรแผ่พังพานมีมงกุฎอยู่ด้านบน ชั้นต่างๆ ของพระปรางค์ซ้อนขึ้นไปถึง 5 ชั้น ลายปูนปั้นข้างบนมีซุ้มหนึ่งเป็นเทวดานั่งพนมมือในท่าอัญชลีมุทรา ทิศตะวันตกรับแดดรับฝน ลายส่วนใหญ่จะสึกหมด อีกด้านเป็นซุ้มมีรัศมี มีพระพุทธรูปด้านใน ในซุ้มมีไม้สอดอยู่ อายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี และเพราะไม่โดนแดดโดนฝนจึงไม่ผุพังไปตามกาลเวลา
เจดีย์ลับ วัดแม่นางปลื้ม
วัดแห่งนี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อนสมัยพระเจ้าอู่ทอง หลักฐานสำคัญคือพระเจดีย์ที่อยู่หลังพระอุโบสถ ส่วนพระวิหารเป็นสถาปัตยกรรมก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ มีรูปสิงห์ปูนปั้นประดับโดยรอบ เป็นสิงห์ปูนปั้นเกือบจะลอยตัว ลักษณะเดียวกับสิงห์หินทรายที่ปราสาทนครวัดและปราสาทบายน ต้นแบบสิงห์สำริดในวัดพระแก้ว วัดแม่นางปลื้ม ตั้งอยู่ที่ ต.คลองสระบัว อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา
“จุดสำคัญที่คนทั่วไปจะมาไม่ถึงคือพระเจดีย์องค์นี้ ส่วนมากมาพระวิหาร พระอุโบสถแล้วก็กลับเลย พระเจดีย์ทรงกลม ได้รับอิทธิพลสุโขทัย เป็นองค์ระฆังคว่ำเหนือขึ้นไปเป็นแท่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส เรียกบัลลังก์ เหนือบัลลังก์ยุบเข้าไปนิดหนึ่งเหมือนก้านของฉัตร เป็นรูปแบบของสุโขทัย จุดสำคัญคือสิงโตที่อยู่โดยรอบ เป็นสิงโตปูนปั้นก่อด้วยอิฐ ปั้นด้วยปูนสด สเกลของสิงโตแต่ละตัวอาจจะไม่เสมอกัน เพราะเป็นงานแฮนด์เมดตัวต่อตัว บางตัวก้นพ้นออกมาจากฝาผนัง บางตัวก้นจมหายไป รวมเรียกว่าสิงห์แบก เจดีย์ที่มีการสร้างเจดีย์แล้วมีสัตว์แบกอยู่ เก่าสุดคือเจดีย์ที่มีช้างแบก พบครั้งแรกในประเทศลังกา”
สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชครองแผ่นดินอินเดีย ประมาณ พ.ศ.300 การมีอำนาจไม่ได้ทำให้พระองค์มีความสุข ทรงตัดสินพระทัยเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา พระราชโอรสของพระองค์ เจ้าชายมหินท์ออกบวช นำพุทธศาสนาจากอินเดียฝ่ายเหนือไปเผยแพร่อินเดียใต้ ข้ามทะเลไปยังเกาะลังกา อัญเชิญพระไตรปิฎกมัดไว้บนหลังช้าง เรือแตก ช้างตกน้ำตะเกียกตะกาย ว่ายจนขึ้นฝั่งได้พระไตรปิฎกไม่เป็นอะไร แต่เมื่อช้างขึ้นฝั่งได้ขาดใจตายหมด ก็โปรดให้สร้างพระเจดีย์ขึ้น แล้วเอารูปช้างมายืนอยู่หน้าพระเจดีย์ บอกว่าต่อไปนี้ถ้าใครกราบพระเจดีย์ก็ได้กราบช้างเพื่อแสดงความเคารพต่อช้างที่เป็นสัตว์มีคุณต่อพุทธศาสนาในเกาะลังกา จากนั้นคนลังกาก็เริ่มสร้างพระเจดีย์โดยมีช้าง เป็นต้นกำเนิดช้างแบก
1500 ปีต่อมา สมัยพ่อขุนรามคำแหง พระโอรสเกิดความเลื่อมใสในศาสนาศรัทธาออกบวช แต่พระสงฆ์ที่มานั่งหัตถบาสกับพระองค์มีคุณวุฒิไม่ถึง 10 พรรษาขึ้นไป พระองค์รู้สึกไม่สมบูรณ์กราบพ่อขุนรามไปเกาะลังกา ขอบวชใหม่ให้บริสุทธิ์ ต่อแพลอยอยู่กลางแม่น้ำกัลยาณี เอาแพเป็นพระอุโบสถ ให้แม่น้ำกัลยาณีเป็นใบเสมา บวชแล้วอยู่ลังกาจนได้เป็นพระมหาเถระ อยู่ที่นั่น 7-8 ปี กลับสุโขทัย ผ่านนครศรีธรรมราช เห็นพระบรมธาตุชำรุดทรุดโทรม ก็เลยอยู่ที่นั่น 3 ปี ซ่อมพระเจดีย์โดยเอารูปแบบลังกาเจดีย์ช้างล้อมรอบ
“เมื่อคติเจดีย์ช้างล้อมมาผสมกับอิทธิพลของเขมร ที่แผ่เข้ามาที่ตรงนี้ เขมรให้ความสำคัญกับสิงห์มากกว่าช้าง ก็เลยแปลงช้างล้อมเป็นสิงห์ล้อม เป็นสิงห์ยืนด้วยขาสี่ขา หลังตรง ปากแสยะ มีแผงอก ขนแผงอก แต่ละตัวจะไม่เหมือนกันเลย ปั้นปูนสด พอกออกมาทีละชั้น พอมันกะเทาะล่อน ก็จะหลุดเป็นชั้นๆ เหมือนกัน นี่คือหลักฐานว่ามีมาก่อนสมัยพระเจ้าอู่ทอง” อาจารย์เผ่าทอง ให้ข้อมูล
วัดสุวรรณดาราราม วัดแห่งราชวงศ์จักรี
วัดสุดท้ายที่มีความสำคัญในฐานะวัดประจำพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์ฝ่ายชาย ก็คือ วัดสุวรรณดาราราม (ส่วนวัดอัมพวันเจติยาราม ที่อัมพวา เป็นวัดประจำพระบรมราชวงศ์จักรี ฝ่ายพระเมหสี) ตั้งอยู่ภายในกำแพงกรุงศรีอยุธยา ทางทิศใต้ ริมป้อมเพชร ต.หอรัตไชย อ.พระนครศรีอยุธยา
อาจารย์เผ่าทอง ย้อนความว่า ในสมัยอยุธยาตอนปลายแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หลังจากพระราชโอรส เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ หรือเจ้าฟ้ากุ้ง ผู้ทรงพระนิพนธ์กาพย์เห่เรือ ถูกลงโทษประหารชีวิต ได้โปรดให้รับเด็กชายสามคนเข้ามาเลี้ยงในพระบรมมหาราชวัง คนแรกเป็นเด็กไทยผมจุก ชื่อ ‘เด็กชายทองด้วง’ เป็นลูกของนายทองดี เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ คนที่สอง ‘เด็กชายสิน’ ไว้หางเปีย ลูกนายไหฮองคนจีน เจ้าภาษีอากรบ่อนเบี้ย คนที่สาม ‘เด็กชายบุนนาค’ เป็นมุสลิม
"สามคนนี้โตมาด้วยกัน วันหนึ่งนอนเล่นในท้องพระโรง มีตั่ง เด็กสามคนนอนหลับ นายบุนนาคเอาหางเปียนายสินไปพันกับขาตั่ง แล้วตบโตะ บอกพระเจ้าแผ่นดินเสด็จแล้ว นายสินตกใจลุกขึ้น ผมกระชากหางเปีย โกรธ ต่อยกัน ไม่พูดกันตั้งแต่นั้น มีอะไรก็พูดผ่านนายทองด้วง ทั้งสามรับราชการ นายสินได้เป็นพระยาวชิรปราการ คุมกองม้า นายทองด้วงได้เป็นหลวงยกกระบัตรราชบุรี ไปได้ผู้หญิงอัมพวามาเป็นภรรยา ชื่อนาค มีน้องสาวชื่อคุณนวล นายบุนนาค กำกับกองช่างมุกไม้แกะสลัก เด็กสามคนผ่านสงครามกรุงแตก นายสินตีฝ่าวงล้อมพม่าไปตั้งหลักอยู่ที่จันทบุรี จากนั้นยกทัพมาขับไล่พม่าออกจากอยุธยาได้ หลังจากพม่าปกครองได้สิบเดือน แล้วสถาปนาตัวเองเป็นพระเจ้าตากสิน ปกครองกรุงศรีอยุธยา
คืนแรกของการยึดกลับมาได้ไปประทับที่เขตพระราชวังกรุงศรีอยุธยา ตื่นขึ้นมาบอกว่านอนไม่หลับเลยทั้งคืน ผีของกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาทั้ง 34 รัชกาลมาชุมนุมขับไล่พระเจ้าตากสินว่าไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลานไม่ใช่วงศ์วานว่านเครืออย่ามานอนในวังนี้ให้ออกไปให้พ้น พระเจ้าตากสินก็เชื่อ สั่งเสนาบดี เย็นนี้กินข้าวเย็นแล้วเก็บของให้หมดแล้วล่องเรือไปเลย เช้าที่ไหนสร้างเมืองที่นั่น กองเรือมาถึงเช้าที่วัดอรุณก็สร้างเมืองธนบุรีขึ้นที่นั่น พระเจ้าตากสินเรียกหลวงยกบัตรราชบุรีมารับราชการกับพระองค์ แล้วให้ไปตามนายบุนนาคมารับราชการ"
สำหรับพื้นที่สร้างวัดสุวรรณดาราราม เดิมเป็นบ้านของนายทองดีพ่อของรัชกาลที่ 1 หลังกรุงศรีอยุธยาแตกถูกเผาหมด รัชกาลที่ 1 กลับมาเห็นทรงเศร้าพระทัย เพราะทุกอย่างเสียหายหมด จึงโปรดให้สร้างวัดชื่อ‘วัดทอง’ หมายเอาที่ตั้งเปลของท่านเป็นที่ตั้งของพระประธาน หมายเอาเรือนที่ประทับเป็นพระวิหาร ด้วยเหตุนี้พระอุโบสถและพระวิหารจึงตั้งคู่กัน วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดประจำราชวงศ์จักรี พระมหากษัตริย์ทุกรัชกาลได้ทำนุบำรุงดูแลวัดนี้อย่างมาก
"ซุ้มประตู รัชกาลที่ 4 สร้างขึ้น หอระฆัง รัชกาลที่ 3 สร้างขึ้น ต้นโพธิ์หน้าพระอุโบสถ รัชกาลที่ 4 สร้างขึ้น จิตรกรรมฝาผนังวาดสมัยรัชกาลที่ 3 เหนือหน้าต่างเขียนเป็นรูปเทวดาสองชั้น เรียกว่าภาพเทพชุมนุม ตามแบบอยุธยา จิตรกรรมระหว่างหน้าต่างเขียนเรื่องทศชาติชาดก เป็นฝีมือช่างหลวง พระพุทธรูปแบบอยุธยา ปางมารวิชัย ข้างหลังเขียนเป็นเขาสัตตบริพรรณ มีศูนย์กลางเขาพระสุเมรุ ยอดเขามีปราสาทของพระอินทร์ มีป่าหิมพานต์เป็นที่อยู่ของยักษ์ของครุฑ ตอนล่างเป็นคลื่น ทะเลสีทันดร ที่อยู่ของพญานาค
วิหารสร้างขึ้นพร้อมพระอุโบสถแต่บูรณะใหญ่สมัยรัชกาลที่ 7 ภาพจิตรกรรมลบของเดิมออกหมดแล้ววาดใหม่ ระหว่างหน้าต่าง เล่าเรื่องสมเด็จพระนเรศวร มีภาพฝึกกระบี่กระบองตอนเสด็จไปอยู่ที่หงสาวดี ภาพทรงพระแสงปืนต้นยิงเรือ ภาพท้าพนันกับมังสามเกียด พระนเรศวรเป็นหลานแท้ๆ ของพระมหาจักรพรรดิกับพระศรีสุริโยทัย เมื่ออยุธยาเสียให้กับพม่า พม่าก็ขอเอาลูกกลับไปเลี้ยงที่หงสาวดี ไปตั้งแต่ 9 ขวบ กลับมาอายุ 16 รู้เรื่องภาษาพม่าเป็นอย่างดี พม่าสั่งคนมาฆ่า จึงหนีมาเมืองแม่สอด ประกาศเอกราช เทน้ำจากพระเต้าลงแผ่นดิน ยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย แล้วจัดพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาครั้งแรกที่วัดศรีชุม สุโขทัย" อาจารย์เผ่าทอง ขยายความจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง
แม้จะเป็นหนังตัวอย่าง แค่ 1 วันในอยุธยา แต่ด้วยข้อมูลความรู้และเกร็ดประวัติศาสตร์ที่ถูกถ่ายทอดผ่านลีลาการเล่าเรื่องอย่างสนุกสนานของอาจารย์เผ่าทอง การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าจุดหมาย Unseen แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าประทับใจ
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
{เก็บมาฝาก}
พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน
สถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ควรค่าแก่การที่จะได้มาชมสักครั้งหนึ่งก็คือ พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน Art of The Kingdom งานศิลปะชิ้นสำคัญของแผ่นดิน ผลงานสถาบันสิริกิติ์ สวนจิตรลดา มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ณ ศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด จ.พระนครศรีอยุธยา มีหัตถกรรมสุดยอดของสยาม ผลงานระดับมาสเตอร์พีซ สุดยอดของสุดยอดฝีมือจัดแสดงไว้ให้ชม
เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาจะเห็นอาคารใหญ่ริมถนนมีธงปักคือพิพิธภัณฑ์โขน จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปที่ประตูด้านหน้า จอดรถไว้จะมีรถรางไฟฟ้ารับส่งไปที่พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน จะมีห้องจำหน่ายบัตร ที่นี่ไม่อนุญาตให้เอากล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือเข้าไป จะมีล็อคเกอร์ให้เก็บของส่วนตัว ยกเว้นกระเป๋าสตางค์นำติดตัวเข้าไปได้ เพราะตอนสุดท้ายของการชมจะมีร้านขายของที่ระลึกของศิลปาชีพในราคาที่จับต้องได้
ที่นี่มีพื้นที่กว้างใหญ่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงซื้อจากราษฎรที่มาทูลเกล้าถวายขาย ทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ประชาชนบริจาคถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย รวบรวมซื้อไว้แล้วให้ราษฎรไม่มีที่ทำกินได้มาอาศัยอยู่ แต่จะอยู่ลึกเข้าไปข้างใน มีการทำนา ปลูกพืชผักต่างๆ
“ชิ้นงานเป็นผลงานของลูกชาวไร่ชาวนาทั้งหมด ทรงรับอุปการะแล้วฝึกให้มีอาชีพติดตัว พระองค์ท่านทรงรับสั่งอยู่เสมอว่า” คนไทยทุกคน มีความเป็นศิลปินอยู่ในสายเลือด ถ้าหากว่าเราได้รับการฝึกหัด บ่มเพาะ ได้ฝึกปรือฝีไม้ลายมือในทางศิลปะแขนงใดแขนงหนึ่งก็ตาม เราก็จะสามารถที่จะทำงานศิลปะนั้นได้เป็นอย่างดี “ทรงมั่นใจอย่างนี้ ลูกชาวไร่ชาวนาที่เขาถวายในสมัย 40 กว่าปีที่แล้ว ไม่มีใครเรียนหนังสือเกิน ป.3 ท่านรับสั่งว่าให้เอามาฝึกฝีมือ ให้รู้จักการเขียนลาย ทุกคนต้องผ่านแผนกเขียนลายเส้น แผนกดรออิ้ง แล้วจากนั้นใครสนใจเรียนด้านไหน ก็จำแนกแจกกันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำถมทอง การทำคร่ำทอง การทำจักสานสารพัด มีหลายแผนกมากในสถาบันสิริกิติ์ เด็กเหล่านี้ก็ค่อยๆ ได้ฝึกฝีมือไปเรื่อยๆ ใน 40 กว่าปีที่ผ่านมา สามารถสร้างคนที่เป็นศิลปินที่มีฝีไม้ลายมือชั้นเยี่ยมสุดของประเทศไทยได้เป็นจำนวนมาก” อาจารย์เผ่าทอง เล่า
ผลงานในพิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน เป็นผลงานที่มหัศจรรย์ ละเอียด อ่อนช้อย งานไม้แกะสลักก็จะทำจากไม้สัก งานที่เห็นเป็นสีทอง นั่นคือทองคำทั้งหมด งานที่เห็นเป็นสีเงิน นั่นก็คือเงินทั้งหมด คนเหล่านี้สามารถรังสรรค์งานหัตถกรรมที่มีความประณีตวิจิตรพิสดารได้ไม่แพ้ฝีมือช่างโบราณ ทำให้การสืบทอดงานศิลปหัตถกรรมแขนงต่างๆ ไม่สูญหายไป ชิ้นงานเหล่านี้ถือเป็นที่สุดของที่สุด เป็นสุดยอดศิลปหัตถกรรมในสมัยรัชกาลที่ 9 เป็นเอกลักษณ์ของประเทศ รังสรรค์โดยลูกชาวไร่ชาวนาจริงๆ
สำหรับการเดินทาง จากกรุงเทพฯ ขับรถมาทางถนนรังสิต-ปทุมธานี เลี้ยวขวาแยก รพ.เซนต์คาร์ลอส ขึ้นสะพานข้ามแยก ลงสะพานตรงไปถนนวงแหวนบางปะอิน ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำ ตรงไปมีป้ายบอกพิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดินอยู่ด้านขวา แต่ถ้าไม่อยากขับรถมาเองก็มีรถบัสให้ใช้บริการฟรี จอดแถวสนามหลวง ด้านวัดมหาธาตุ ติดป้ายว่าไปพิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน รถออกประมาณเที่ยงตรง เมื่อมาถึงแล้วค่อยซื้อบัตรเข้าชม ราคา 150 บาท อายุเกิน 60 ปีลดครึ่งราคา 75 บาท นักเรียนนิสิตนักศึกษาในเครื่องแบบลดครึ่งราคา 75 บาท นอกจากชมพิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดินแล้วยังสามารถใช้ต่อได้ในพิพิธภัณฑ์โขนในอาคารถัดไป พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดินเปิดให้ชมทุกวัน (เว้นวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 10.00 -15.30