Sinophobia : กระแสเกลียดกลัว 'จีน' ที่ระบาดแรงยิ่งกว่า 'ไวรัสโคโรน่า'

เมื่อ COVID-19 ทำให้เกิดการเหยียดและคุกคามชาวจีน ลุกลามไปจนถึงคนเอเชียอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในต่างแดน ความรุนแรงนี้กำลังก่อตัวขึ้นในหลายประเทศ
ดูเหมือนว่ากระแสการเหยียด แบ่งแยก และการใช้ความรุนแรงทางร่างกายที่เกิดขึ้นกับชาวเอเชียที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ จากสถานการณ์ระบาดของ ‘ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่’ จะทวีความรุนแรงและแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากโรคระบาดชนิดหนึ่ง
Xenophobia - การเกลียดกลัวชาวต่างชาติ, Sinophobia - การเกลียดกลัวคนจีน และ Racism - การเหยียดเชื้อชาติ ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นอีกครั้งและขยายวงกว้างออกไป
กลางเดือนที่ผ่านมา เด็กชายวัย 16 จากซานเฟอร์นันโด รัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกเพื่อนนักเรียนทำร้ายร่างกายจนต้องนำส่งห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาล เพราะถูกกล่าวหาว่ามีเชื้อไวรัสโคโรนา สาเหตุเพราะเด็กชายคนนี้เป็นคนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย
เอมมี่ วง ม๊ก (Amy Wong Mok) ประธานศูนย์วัฒนธรรมเอเชียน-อเมริกัน ในออสติน เท็กซัส กล่าวว่า เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเธอเกิดไอขึ้นมาขณะอยู่ในฟิตเนส เนื่องจากเพิ่งเดินเข้ามาจากสภาพอากาศหนาวภายนอก ผู้คนในนั้นเดินหนีเธอออกไปเหมือนเป็นตัวเชื้อโรค ยังดีที่พวกเขาไม่ได้ทำร้ายเธอ
สำนักข่าว CNN รายงานถึงหญิงสาวชาวไทยเชื้อสายอเมริกันที่ถูกไล่ลงจากรถไฟใต้ดินในลอสแองเจลิส เธอบันทึกเสียงผู้ชายคนที่ตะโกนด่าทอเธอไว้
“โรคทุกโรคมาจากจีน ทุกอย่างมาจากจีน พวกเธอน่ารังเกียจมาก...”
อีกด้านหนึ่งที่สถานีรถไฟใต้ดินนิวยอร์ค ผู้หญิงชาวเอเชียคนหนึ่งถูกทำร้ายร่างกายโดยคนแปลกหน้าเพราะสวมหน้ากากอนามัย ทั้งที่การสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งที่ชาวเอเชียตะวันออกปฏิบัติกันมาก่อนการระบาดของโคโรนาไวรัส เพื่อป้องกันตัวเองจากฝุ่นละอองและมลภาวะ พยานคนหนึ่งในเหตุการณ์ได้ยินชายคนที่ทำร้ายร่างกายเรียกหญิงเอเชียรายนี้ว่า “diseased b.......”
มีเหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นรายวัน ไม่เฉพาะกับชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียในอเมริกา แต่ระบาดไปยังยุโรป ชาวเอเชียและร้านอาหารจีนในต่างประเทศได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอิตาลีที่การระบาดของโรคเข้าสู่ระดับ 3 อย่างไม่ทันตั้งตัว ความเป็นเอเชียกำลังตกเป็นเป้าของ ‘ความกลัว’ ที่ไม่มีมูลความจริงอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับโคโรนาไวรัส
- 'ไวรัล' ร้ายกว่า 'ไวรัส'
ก่อนหน้าเมื่อทางการจีนประกาศปิดเมืองอู่ฮั่นจากการระบาดของโคโรนาไวรัส ประเทศไทยยังคงเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนบางกลุ่มที่เดินทางเข้ามา ณ ขณะนั้น กระแส ‘เหยียดชาวจีน’ เกิดขึ้นในหมู่คนไทยเช่นกัน แต่ตอนนี้ความกลัวถูกขยายวอลลุ่มเป็นกระแสความเกลียดชัง หลังการแพร่ระบาดกระจายออกไปยังประเทศแถบตะวันตก
สมาคมนักข่าวเอเชียน-อเมริกัน (Asian American Journalists Association: AAJA) ในอเมริกา เรียกร้องให้สื่อมวลชนรายงานข่าวเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างถูกต้องและมีสติ ในแถลงการณ์ระบุว่า ความกังวลและความกลัวในแพร่ระบาดของไวรัสมาพร้อมกับการแสดงออกที่เป็นปฏิปักษ์และเลือกปฏิบัติต่อชาวเอเชียและชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย
“การเติมเชื้อไฟให้เกิดการเกลียดกลัวชาวต่างชาติ (xenophobia) และการเหยียดเชื้อชาติ (racism) ได้ปะทุขึ้นตั้งแต่เกิดการระบาดของโรค”
คำว่า “Yellow Peril” ที่หมายถึง “ภัยเหลือง/ ภัยคุกคามจากชาติผิวเหลือง” เปรียบเปรยถึงประเทศจีน “Chinese virus panda-monium” – เดชกังฟูไวรัสแพนด้า และ “China kids stay home”. – เด็กจีนอยู่กับบ้าน เป็นตัวอย่างพาดหัวข่าวที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ในประเทศฝรั่งเศสและออสเตรเลีย
AAJA มีสมาชิกมากกว่า 1,500 คนทั่วอเมริกาและเอเชีย องค์กรได้ประกาศแนวทางการรายงานข่าวเกี่ยวกับโคโรนาไวรัสและเรียกร้องให้สื่อต่างๆ ให้ความร่วมมือ ไม่ใช้ภาพไชน่าทาวน์และภาพชาวเอเชียสวมหน้ากากอนามัยประกอบเนื้อหาข่าว เว้นแต่กำลังนำเสนอเนื้อหาในบริบทที่เกี่ยวข้องและเหมาะสม รวมทั้งไม่เรียก COVID-19 ว่า ‘ไวรัสอู่ฮั่น’ เนื่องจากการนำเสนอข่าวลักษณะดังกล่าวเป็นการตอกย้ำและตีตราจนทำให้เกิดปัญหา
โรเบิร์ต ฟุลลิเลิฟ (Robert Fullilove) ศาสตราจารย์ด้านสหวิทยาการสังคมศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ค บอกกับ สำนักข่าว NBC ว่า การรายงานข่าวของสื่อมวลชนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสส่งผลกระทบโดยตรงต่อการยกระดับให้เกิดการเกลียดกลัวชาวต่างชาติ
“การเกลียดกลัวชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญจากการรับข้อมูลข่าวสารที่ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก ยิ่งตื่นตระหนกมากเท่าไร คนเรายิ่งมีแนวโน้มที่จะโทษคนอื่นหรือปัจจัยภายนอก”
สตีเฟน ดรีนา (Stephen Drena) นักศึกษาด้านประวัติศาสตร์ พุทธศาสนาและการศึกษา มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน มิลวอกี (University of Wisconsin Milwaukee) ชาวอเมริกัน กล่าวว่า อเมริกามีอดีตที่เลวร้ายเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติและการเกลียดกลัวชาวต่างชาติมาก่อน สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้ที่ผ่านมาอเมริกาพยายามบอกว่าตัวเองไม่ติดอยู่กับอดีต
“ในช่วงเดือนที่ผ่านมาอะไรเป็นสิ่งที่มนุษยชาติมีส่วนร่วมร่วมกันในการตั้งรับเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโคโรนาไวรัส สิ่งที่เกิดขึ้นคือความสับสนและความเข้าใจที่ไม่ตรงกันของผู้คนที่อาศัยอยู่คนละซีกโลก สำหรับบางคนสิ่งนี้ทำให้เกิดความกลัวและเป็นชนวนให้เกิดการป้องกันตนเอง ที่น่าเศร้าคือการเปิดเผยให้เห็นถึงพฤติกรรมการเกลียดกลัวชาวต่างชาติ แต่ผมยังเชื่อว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกกลัว หรือรู้สึกถึงขนาดต้องปกป้องตัวเองโดยใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นจากสถานการณ์ของโรคที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม กับเรื่องบางเรื่องที่หลายคนยังคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว การนำเสนอข่าวสารผ่านสื่อเป็นสิ่งที่ควรตั้งคำถาม การรายงานข่าวของสื่อไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งมีส่วนทำให้เกิดการกล่าวโทษต่อต้นทางการระบาดของโรค จนสร้างกระแสที่ทำให้ผู้คนรู้สึกกลัว ทั้งที่สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงคือ การตั้งคำถามว่าจะนำเสนอปัญหาที่มีความละเอียดอ่อนนี้อย่างไรเพื่อช่วยกอบกู้สถานการณ์ นอกจากนี้ยังมีคนอเมริกันจำนวนมากที่กำลังดิ้นรนอยู่กับการตั้งหน้าตั้งตาทำงานเลี้ยงปากท้อง โดยไม่ได้สนใจวิกฤตหรือเรื่องราวต่างๆ รอบตัวที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ด้วยซ้ำ”
- การระบาดใหญ่ของความเกลียดชัง
องค์การอนามัยโลกประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพระดับโลก แต่ยังปฏิเสธที่จะใช้คำว่า ‘การระบาดใหญ่’ (pandemic) กับสถานการณ์ของโคโรนาไวรัส เพียงแค่เตือนให้ทั่วโลกพร้อมรับมือกับการภาวะการระบาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น ทว่าอีกมุมหนึ่ง โรคแห่งความเกลียดชังกลับเข้าสู่การระบาดใหญ่ไปเสียแล้ว
สำนักข่าวอัลจาซีรา รายงานว่า กิจการและธุรกิจของชาวอิตาเลียนเชื้อสายจีนในอิตาลีถูกคว่ำบาตร มีการพูดจาดูถูก กระทั่งใช้คำพูดคุกคามทางเพศ
“เธอมาทำอะไรที่อิตาลี? ออกไป! คุณกำลังนำโรคมาให้เรา” เด็กชายอิตาเลียนเชื้อสายจีนวัย 15 ถูกกล่าวหา ก่อนถูกต่อยและเตะใบหน้าจนได้รับบาดเจ็บ
หนังสือพิมพ์ Bologna Today ในอิตาลี รายงานว่าเหตุเกิดขึ้นทางตอนเหนือของเมืองโบโลญญา ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับชาวฟิลิปปินส์วัย 31 ที่อยู่ทางตอนใต้ของคัลยารี อิตาลี หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น La Nuova Sardegna รายงานว่า เขาถูกทำร้ายจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะโดนเข้าใจผิดว่าเป็นคนจีน
“ไวรัสได้กลายเป็นเหตุผลที่ถูกนำมาอ้างเพื่อแสดงออกถึงอคติและความเกลียดชัง สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายขนาดนี้ตอนที่เกิดการระบาดของโรคซาร์เมื่อ 17 ปีที่แล้ว”
หงฉิน โจว (Hongqin Zhou) ชาวจีนที่อพยพมาอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงของอิตาลีกว่า 30 ปี อธิบาย เธอโดนคนขับรถแท็กซี่ปฏิเสธรับขึ้นโดยสารเพราะกลัวโรค
“แน่นอนว่าคุณทำตัวไม่ถูก แต่มันไม่มีอะไรน่าสลดใจกว่านี้อีกแล้ว” โจว กล่าว
เจ๋อเจี้ยน เผิง (Zejian Peng) เจ้าของร้านเครื่องเขียนแห่งหนึ่งในเมืองซาแลร์โน บอกว่า ความรู้สึกต่อต้านชาวจีนในอิตาลีมีความรุนแรงมาก เขาอาศัยอยู่ที่เมืองนี้มา 29 ปี ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ แต่งงานกับชาวอิตาเลียน ทุกวันนี้ภรรยารับหน้าที่ดูแลร้านเป็นหลัก เพราะพวกเขาไม่อยากเสียลูกค้าไปหากเห็นเขาอยู่ภายในร้าน
“ความรุนแรงทั้งหมดที่มีที่มาจากเนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอในโลกออนไลน์ บางคนไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่เชื่อตามสิ่งที่อ่านและถูกแชร์ออกไปโดยไม่สนใจหลักฐานและข้อเท็จจริง” เผิง กล่าวด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองและหมดหวัง
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า มนุษย์มักตื่นกลัวและตื่นตระหนกในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ เช่น โรคเรื้อน วัณโรค หรือไข้หวัดใหญ่ ที่เคยสร้างความกังวลใจให้กับผู้คนในสังคมมาก่อน การแพร่ระบาดของของ 'COVID-19' ก็เช่นเดียวกัน
“โรคไหนที่มียารักษา มีวัคซีนแล้วคนจะไม่ค่อยกลัวกัน ทุกวันนี้เราเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เราไม่ต้องปกปิด บอกให้คนในครอบครัว คนรอบข้างรู้ได้ จะได้ช่วยกันเฝ้าระวัง แต่ถ้าเป็น HIV หรือโรคเอดส์ แม้คนจะมีความเข้าใจมากขึ้นแล้วแต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในขั้นที่เป็นแล้วจะอยากบอกใคร COVID-19 ก็เหมือนกัน ความกลัวและความตื่นตระหนก เกิดขึ้นเพราะเป็นโรคใหม่ ยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาเฉพาะ คนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และความเข้าใจ หรือมีแล้วแต่ยังไม่ทั่วถึง”
อย่างไรก็ตาม กระแสความตื่นกลัวของผู้คนกลับแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้โรคระบาด เพราะยุคนี้เป็นยุคของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สังคมโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างและแชร์ข่าว ซึ่งข่าวสารในเชิงลบแม้เป็นข่าวลือและไม่ใช่ข้อเท็จจริง สามารถสื่อสารส่งต่อไปได้อย่างรวดเร็ว โดยปราศจากการคัดกรอง
“ความน่ากลัว ณ วันนี้ คือ แทนที่คนจะกลัวเชื้อโรคแล้วมองหาวิธีการจัดการ ดูแลและควบคุมเชื้อ คนกลับไปกลัวคน หวาดระแวงและสงสัยโดยเฉพาะกับคนจีนและคนเอเชีย ทั้งที่มนุษย์ทุกคนเป็นเหยื่อของไวรัสได้เหมือนกันหมด ไม่มีพรมแดน สถานการณ์ตอนนี้สิ่งที่สำคัญเราต้องตั้งสติ หาทางต่อสู้กับไวรัส สู้กับเชื้อโรค เราไม่ได้กำลังจะไปสู้กับคนที่รับเชื้อโรคซึ่งเป็นเหยื่อ ต้องแยกความกลัวไวรัสออกจากตัวคนให้ได้
ส่วนอีกด้านหนึ่งเราต้องต่อสู้กับข่าวเชิงลบที่สร้างความกลัวนี้ขึ้นมาด้วย หากเราจะแพ้ เราไม่ได้กำลังแพ้ให้กับเชื้อโรคแต่แพ้ให้กับข่าวลือต่างๆ เพราะยิ่งเราไปทำให้เกิดความรังเกียจ หวาดกลัวมากเท่าไหร่ ยิ่งนำมาสู่การปกปิด ไม่บอก เพราะไม่อยากถูกจำแนกกีดกัน กลัวการถูกชี้หน้าประณามออกไปจากสังคม ถ้าสังคมไทยหรือสังคมโลกเป็นแบบนี้ การแก้ปัญหาระยะยาวก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก”
นพ.สุวัฒน์ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน COVID-19 ในประเทศไทยพบผู้ป่วยจากการคัดกรอง รักษาหายและยังไม่พบการเสียชีวิต การแพร่กระจายของโรคในประเทศไทยจึงยังไม่อยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะหากคนในสังคมตระหนักรู้ รับข้อมูลที่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยงกลับมาควรกักตัวเองดูอาการ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ป้องกันและดูแลตัวเองเบื้องต้น
“ไม่มีใครอยากเป็นโรค แต่ทำอย่างไรให้เมื่อเป็นแล้วจะได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเร็วที่สุด เป็นไข้ ไอ โดยเฉพาะหลังการเดินทางกลับจากต่างประเทศ หรือมีประวัติสัมผัสกับนักท่องเที่ยวคนจีน รีบไปพบแพทย์ อย่าปกปิดข้อมูล กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้
การจะไปเปลี่ยนวิธีคิดของคนทุกชนชาติให้คิดเหมือนกันเราจะเหนื่อย แต่การสร้างความตระหนักรู้และป้องกันตนเองเป็นสิ่งที่น่ารณรงค์ การรังเกียจกันสุดท้ายก็จะย้อนกลับมาทำลายสังคม ระบบความเป็นมนุษย์ และระบบเศรษฐกิจที่จะทำวิกฤตหนักขึ้น”
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ดูเหมือนว่าวายร้ายจะไม่ใช่ 'ไวรัส' เสียแล้ว แต่เป็น 'ไวรัล' ของการแชร์ข้อมูลข่าวสารที่สร้างความหวาดกลัวต่างหาก!