‘ไฟป่า’ สัญญาณเตือนแรงๆ จากโลก

‘ไฟป่า’ สัญญาณเตือนแรงๆ จากโลก

จากผืนป่าแอมะซอนถึงออสเตรเลีย ล่าสุดกับไฟป่าทางภาคเหนือของไทย นี่คือสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติของสภาพแวดล้อมและการจัดการทรัพยากรที่ส่อเค้าวิกฤต

 

ภาพไฟป่าครั้งใหญ่ที่ทำลายพื้นที่สีเขียวของแอมะซอน ไล่มาจนถึงภัยพิบัติของผืนป่าในออสเตรเลีย ก่อนจะปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในภาคเหนือของไทย ทิ้งฝุ่นควันความกังวลไว้ในใจของนักอนุรักษ์และคนทั่วไปที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม ไม่น้อยไปกว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19

อะไรกำลังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้... และเราจะสามารถบรรเทาเบาบางความรุนแรงของผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เมื่อเร็วๆ นี้ ในรายการ 'Sasin Talk' คนรักสิ่งแวดล้อมต่างบทบาทการทำงานได้มาร่วมพูดคุยกัน ผ่าน Facebook Live หัวข้อ ‘ธรรมชาติกำลังบอกอะไร เมื่อเสียงเปลวไฟยังคงคุกรุ่น’ โดย ศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เปิดข้อมูลไฟป่าในประเทศไทยช่วง 2-3 ปี ที่แสดงให้เห็นว่า ไฟป่าปีนี้รุนแรงมากขึ้นจริงๆ

“ทีมงานเก็บข้อมูลปี 2561-2563 ในปี 61-62 เก็บข้อมูลถึงเดือนพฤษภา แต่ปีนี้ยังไม่ถึงเดือนพฤษภาเลยปรากฏว่าจุดความร้อนเชียงใหม่เท่ากับของปี 62 แล้ว ภาคเหนือตอนบนเกิดจุดความร้อนเป็นร้อยๆ จุด เราแบ่งพื้นที่เป็นป่าอนุรักษ์ ป่าเกษตรกรรม สปก. ป่าสงวนแห่งชาติ ที่เชียงใหม่ มีไฟเกิดขึ้นในป่าอนุรักษ์ 15 จุด ป่าสงวน 25 จุด ใน 9 จังหวัดภาคเหนือไหม้ไปแล้ว 10,000 กว่าไร่”

และนั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเว็บไซต์รายงานคุณภาพอากาศ airvisual.com จึงจัดให้เชียงใหม่อยู่ในอันดับ 1 ของเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดของโลกหลายวันติดต่อกัน

นอกจากยืนยันด้วยค่า PM 2.5 ในอากาศแล้ว ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ประธานกรรมการมูลนิธิโลกสีเขียว ซึ่งมีบ้านพักอยู่ในอำเภอเชียงดาว บอกว่า ความรุนแรงของไฟป่าปีนี้ไม่เหมือนที่ผ่านๆ มา

“ไฟป่าปีนี้แรงมากกว่าที่เราคุ้นเคยกันมา ปกติเวลาหนาวๆ พอดึกๆ มันจะดับ แต่สองปีนี้ไม่ดับ มันไหม้ข้ามวันข้ามคืนไปเรื่อยๆ มันแล้งจัด ถึงแม้ว่าอากาศจะเย็นแต่ความชื้นน้อยก็เลยลามไปได้เรื่อยๆ ดับยาก"

ดร.สรณรัชฎ์ อธิบายว่าตามปกติแล้วในป่าบางประเภท ไฟไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม แถมยังมีประโยชน์กับระบบนิเวศ "แต่ตอนนี้ไฟมันแรงไป มากไป เยอะไป วิธีดูง่ายๆ ว่าป่าสุขภาพดีไหม ให้ดูจากประชากรต้นไม้ ถ้ามีแต่เด็กเล็กๆ ไม่มีวัยรุ่น แล้วมีแต่ต้นไม้ใหญ่ พวกกล้าไม้ต้นเล็กๆ เวลามันเจอไฟแรงก็จะถูกตบลงไปเรื่อยๆ ไม่สามารถงอกขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ ป่าเต็งรังตอนนี้ไม่มีวัยรุ่น ส่วนที่ดอยสุเทพซึ่งเป็นป่าดิบเขา ไลเคนหายไปเยอะ กล้วยไม้ที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ตรงยอดดอยปุยก็คงไม่มี ปีนี้ซีเรียสแล้ว อยากให้มีกำหนดชิงเผาตอนต้นฤดูที่หญ้ายังเขียวๆ เพราะถ้าไหม้เป็นหย่อมๆ มันจะเกิดความหลากหลาย”

 

91006677_3025611207503056_5918510112648986624_o

ภาพ: นิคม พุทธา

 

ไฟป่าปัญหาโลก ปัญหามนุษย์

ไม่ใช่แค่เมืองไทย แต่ถ้าใครติดตามข่าวคงจะเห็นภาพความรุนแรงของไฟป่าที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคของโลกตั้งแต่ปีที่แล้ว วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล พิธีกรและผู้ผลิตรายการเถื่อน travel ซึ่งได้ไปถ่ายทำเรื่องนี้ที่ประเทศอินเดียและออสเตรเลีย มีความเห็นว่านี่คือผลกระทบจากภาวะโลกร้อน

“ไฟป่าที่ออสเตรเลีย สเกลของป่าที่ไหม้ มันใหญ่มากๆ ป่าที่ไม่เคยไหม้มาก่อนตอนนี้ก็ไหม้ ไฟป่าเป็นผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงอากาศที่ชัดเจนมาก แม้ว่าไฟป่าจะมีโดยปกติ แต่ว่าความแล้ง ความแห้ง ความร้อน ทำให้ไฟป่าคุมไม่ได้อีกต่อไป

เราเห็นแล้วที่ออสเตรเลีย ปีนี้ได้มาเห็นที่บ้านเราเอง ปีที่แล้วมีไฟป่าที่ป่าแอมะซอน สุมาตรา กรีนแลนด์ ไซบีเรีย มันไหม้ทั่วทั้งโลก นี่เป็นแค่ปัญหาเดียวของหนึ่งองศาที่เพิ่มขึ้น ปะการังฟอกขาวที่ Great Barrier Reef เกิดขึ้นรอบที่ 3 ใน 5 ปี เมื่อก่อนเรามองเป็นเรื่องของคนรุ่นต่อไป แต่ตอนนี้เป็นรุ่นเราเรียบร้อยแล้ว”

อย่างไรก็ดี นอกจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่เป็นประเด็นระดับโลกแล้ว สาเหตุของการเกิดไฟป่าที่มาจากน้ำมือมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน

“ไฟป่าที่เชียงราย ไม่ได้เกิดจากไฟป่าอย่างเดียว แต่เป็นการเผาไร่พื้นที่ราบด้วย และมาจากประเทศเพื่อนบ้านเยอะ ไร่ข้าวโพดในเมียนมา ไร่ข้าวโพดในลาว เป็นไฟคนจุดทั้งนั้น ซึ่งมีทุกปี มีการหาเลี้ยงชีพที่ต้องเผาป่า ตอนนี้ความแล้งความแห้ง มันคุมไม่ได้แล้ว พอไม่มีการชิงเผา เชื้อเพลิงก็กองอยู่เต็ม จุดที่ไม่เคยไหม้มาก่อน10-20 ปีก็เริ่มไหม้ขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเรื่องระดับชาติ ไม่ใช่แค่ 9 จังหวัดภาคเหนือ แม่ฮ่องสอนตอนนี้ ที่ปาย AQI เกิน 700 แล้ว ไม่รู้หายใจกันยังไง หนักมากจริงๆ” วรรณสิงห์ แสดงความกังวล

ขณะที่ ศศิน ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามปัญหานี้มานาน สรุปภาพรวมของปัญหาไฟป่าในประเทศไทยว่า ...เปลวไฟและหมอกควันเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง ลึกลงไปคือความขัดแย้งที่จัดการไม่ได้ง่ายๆ

"1. ปัญหาความขัดแย้งด้านข้อมูล ฝ่ายราชการมองว่าชาวบ้านจุดไฟลามเข้าป่า ทั้งหาของป่า ทั้งล่าสัตว์ ส่วนชาวบ้านมองว่าเป็นวิถีทำมาหากินดั้งเดิม แต่รัฐห้ามทำให้คนแอบเผา แล้วมีเรื่องไฟและควันจากต่างประเทศอีก ขาดการวิเคราะห์ ยอมรับร่วมกัน

2. ปัญหาความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่ป่าไม้กับชาวบ้าน ขัดแย้งลึกหลายประเด็น แต่อคติจะลดลง ถ้าวางแผนร่วมกันทำได้

3. ปัญหาความขัดแย้งเรื่องค่านิยม วิถีชุมชน การใช้ไฟเตรียมพื้นที่เกษตร เก็บหาของป่า แค่วางกติการ่วมกันที่รับกันได้ทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน มีกฎหมาย ใช้แทนค่านิยม

4. ปัญหาความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ มีคนได้ประโยชน์จากไฟป่า ทางตรงคนหาของป่าล่าสัตว์ นอกนั้นเผาเอาที่ เวลามีไฟก็จะมีงบประมาณมาลง มีหน่วยงานเกี่ยวข้องได้ผลประโยชน์

5. ปัญหาเชิงโครงสร้างของหน่วยงานดับไฟป่า ไม่ยึดโยงกับการดูแลพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ไม่อยู่ในการควบคุมของหัวหน้าพื้นที่ ต้องประสานงาน เพราะตอนนี้แยกกัน ระบบดับไฟใช้เทคนิคเก่า ขาดเทคโนโลยี ขาดมืออาชีพ ไม่เคยมีใครให้ความสำคัญเรื่องนี้ การประสานงานระหว่างหน่วยงานขาดโครงสร้างข้อกฎหมาย งบประมาณในการทำงาน ความเป็นเมืองรุกป่า ธรรมชาติเปลี่ยน แห้งแล้งยาวนาน อุณหภูมิสูงขึ้น ภูมิอากาศแปรปรวน ความชื้นน้อย ฝนน้อย ลมเยอะ"

 

91138602_3025608260836684_8210281168323477504_o

ภาพ: นิคม พุทธา

 

ดับไฟป่า ดับปัญหารากฐาน

ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุอะไร แต่เมื่อไฟป่าเกิดขึ้นแล้ว การดับไฟเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ เทคโนโลยี และกำลังคน ธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เล่าถึงการทำงานที่ผ่านมาว่า

“เราได้หารือกับทุกภาคส่วน มีการกระจายกำลังเจ้าหน้าที่ไว้ในพื้นที่ล่อแหลม ใช้วิธีลาดตระเวน เจ้าหน้าที่ทุกคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจ พิทักษ์รักษาทรัพยากรของชาติไว้ ไม่มีปัญหาเรื่องเผาสร้างความขัดแย้งแน่นอน แต่เรื่องน้ำค่อนข้างมีปัญหา เพราะว่าปีนี้ประสบปัญหาภัยแล้ง หนึ่งคนเผาร้อยคนดับ กว่าจะดับได้นี่มันหนักหนาสาหัส เราต้องสวิงกำลังจากภาคกลาง ภาคใต้ ภาคอีสาน ขึ้นมาช่วย 9 จังหวัดภาคเหนือ บางคนรอนแรมมาจากภาคใต้ สองเดือนกว่าแล้ว ไม่ได้กลับบ้านเลย"

เขาว่าทุกวันนี้มีเงื่อนไขที่ทับซ้อนขึ้นมา นั่นคือการมี พ.ร.บ.ใหม่สองฉบับ เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่อาศัยในพื้่นที่อนุรักษ์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ต้องมีหน้าที่ต้องร่วมดูแลรักษาป่า ไม่บุกรุกทำลาย ตัดไม้ล่าสัตว์

“ตอนนี้อยู่ระหว่างสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนให้ได้รับรู้ถึงผลเสีย ไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำเติมอีก ที่ผ่านมาเราสูญเสียบุคลากร ทั้งจิตอาสา พลทหาร เราไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใคร คนที่มาทำงานให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ปัญหาไฟป่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ หน่วยงานเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน งบประมาณของสำนักควบคุมไฟป่า เราถูกตัดทุกปี แต่ภาระรับผิดชอบมากขึ้น มันสวนกัน เรามีสายด่วนอุทยาน 1362 ยินดีรับฟังข้อมูลทุกท่านเพื่อนำมาสู่การแก้ไขครับ” อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าว

ขณะที่อีกมุมหนึ่ง ดร.สรณรัชฎ์ มองว่า ระบบการจัดการต้องเปลี่ยน

"เราต้องแสวงหาความร่วมมือ กระจายอำนาจ ต้องมีเทคโนโลยีที่ดีกว่าคนถือไม้ดับไฟ อยากเห็นการลงทุนตรงนี้ ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ตัวควบคุมมรสุมมันหย่อนยาน เมื่อก่อนหมอกควันไม่เยอะ ปีที่แล้วเมษาอยู่เชียงดาวต้องคว้าผ้าห่มมาห่มเพราะว่าหนาวมาก ความกดอากาศมันกดอยู่ตลอด ไม่ระบายไปไหน เราต้องคิดใหม่กับการจัดการทุกอย่าง ต้องอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าให้มันชื้นขึ้น ต้องทำให้โครงสร้างมันสะดวก โครงสร้างต้องเปลี่ยน ระบบต้องเปลี่ยน”

สุดท้าย วรรณสิงห์ เสนอให้ขยายมุมมองไปถึงภาวะโลกร้อน เนื่องจากประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบในลำดับต้นๆ

“กรุงเทพฯจะจมลง ชายฝั่งจะหายไป แต่ปรากฏว่าไฟป่าแซงมาเร็วกว่าทุกเรื่อง มันไม่ใช่เรื่องธรรมชาติอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาเศรษฐกิจสังคมการเมืองด้วย หลายๆ ท่านที่ผมสัมภาษณ์พูดตรงกันว่า 1. ต้องกระจายอำนาจ 2. ต้องเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาจัดการเรื่องไฟโดยมีการประสานงานข้ามพื้นที่กัน เพราะว่ามลภาวะอากาศมันลอยไปลอยมาตลอด ต้องมีการประสานงานข้ามพื้นที่ มีส่วนกลางทำตรงนั้น”

เขาว่า Climate Change กำลังมากระทบชีวิตเรา จำเป็นต้อง Shift มุมมอง “อย่างตัวเลขที่ชูเป็นสรณะว่าประเทศต้องมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ต่อไปจะไม่ใช่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ดาวเคราะห์ดวงนี้จะรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศพร้อมกัน แต่แพลนว่าไม่ต้องโตขึ้นเศรษฐกิจย่อตัวแต่มีการรองรับงานที่สะอาดขึ้น มีการกระจายรายได้ที่ดีขึ้น GDP ลด แต่คุณภาพชีวิตดีขึ้น เพราะเราจะอยู่ไม่ได้จริงๆ ทุกเรื่อง สังคมมันอยู่ในธรรมชาติ ถ้าธรรมชาติอยู่ไม่ได้ ก็ไม่มีที่ให้สังคมมนุษย์มาตั้งอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องรอภัยพิบัติอีกกี่ขนานเราถึงจะสามารถเปลี่ยนมุมมองทั้งระบบได้จริงๆ”

สุดท้าย วรรณสิงห์ เปรียบเทียบสถานการณ์ไฟป่ากับภาวะโรคระบาดที่เกิดขึ้นว่า สร้างความสูญเสียไม่น้อยไปกว่ากัน แต่กลับส่งผลต่อความตระหนักของผู้คนแตกต่างกัน

“โควิดเป็นช็อคที่เขย่า ทำให้คนเห็นต้นเหตุและผลลัพธ์ชัดเจน คนเลยรู้ว่าจะต้องทำอะไร ขณะที่ปัญหามลภาวะทางอากาศฆ่าคนปีละ 5-7 ล้าน ผมเชื่อว่าพอโควิดจบปุ๊บ ยอดคนตายไม่น่าสูงเท่าจำนวนคนตายจากมลภาวะ แต่เราก็ไม่ทำอะไรเรื่องนี้” 

และหากคิดจะฝาก Climate Change ไว้เป็นโจทย์ใหญ่สำหรับคนรุ่นหลังก็อาจจะไม่ทันการณ์ 

"ตอนไปภาคเหนือไปถ่ายเถื่อนทราเวลไทยแลนด์ในนั้นมีภาพฝุ่นควันหนา ซึ่งผมไปเดลีประเทศอินเดียที่ได้ชื่อว่าสภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก ยังไม่แย่ขนาดเชียงรายวันนั้นเลย ต้องเป็นระบบนำสำนึกครับ เพราะเราไม่สามารถทำให้ทุกคนตื่นรู้พร้อมกันทั้งโลกได้ เราสามารถ expect ได้ว่ามีคนตื่นรู้กลุ่มหนึ่งไปดีไซน์ระบบบังคับให้คนที่เหลือทำตามแม้ว่าจะไม่ตื่นรู้ก็ตาม ระบบที่เขียวในอนาคต บางทีมันจะ require ให้รัฐบาลไปควบคุมเยอะ แล้วก็ต้องมาคอนโทรลสิทธิเสรีภาพในการบริโภคส่วนบุคคลไม่ให้มันเยอะจนเกินไป ทีนี้จะมีรัฐบางที่เอาข้ออ้างนี้มาสร้างอำนาจเกินเหตุอีก สังคมก็ต้องมาตรวจสอบ อาจเกิดเผด็จการเขียวในอนาคตก็ได้ แต่อย่างนั้นก็ไม่เวิร์คเหมือนกัน” วรรณสิงห์ ทิ้งเงื่อนปมไว้ให้คิด

ก่อนที่โลกจะไม่เพียงส่งคำเตือน และมนุษย์จะไม่มีโอกาสรับมือได้อีกต่อไป