'MAYU BANGKOK' โรงแรมเรียวกังย่านสุขุมวิท ที่จะทำให้หายคิดถึง 'ญี่ปุ่น'

 

การพักผ่อนในบรรยากาศที่ตัวเองหลงใหล คือ หนึ่งสิ่งที่หลายคนโหยหาหลังจากต้องเผชิญกับสภาวะกดดันของการล็อคดาวน์ แต่สำหรับคนรักความเป็นญี่ปุ่นจนแทบจะอยากบินไปแลนดิ้งที่เจแปนก็ยังคงต้องอดกลั้นความปรารถนานี้ไว้

 วิดีโอ: ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์, บุณฑริกา พรมจารีย์

ถึงจะไปญี่ปุ่นไม่ได้ แต่เรามีหนึ่งสถานที่มาแนะนำซึ่งจะได้สัมผัสกลิ่นอายแดนซามูไรใจกลางกรุงเทพฯ จนแทบจะนึกว่ากำลังนอนเล่นในเรียวกังที่เกียวโต

จากปากซอยสุขุมวิท 49 ตรงเข้ามาไม่ไกลนัก ความวุ่นวายแบบกรงุเทพสไตล์ก็กลายเป็นความเงียบสงบ เพราะในซอยสุขุมวิท 49/2 ซึ่งมีลักษณะเป็นตรอกเล็กๆ ถนนสั้นๆ รูปแบบซอยตันกลายเป็นข้อดีที่ทำให้โรงแรมสไตล์เรียวกัง Mayu Bangkok รักษาบรรยากาศสงบเอาไว้ได้

 ภาพ: ปริญญา ชาวสมุน

การซุกตัวอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ของโรงแรมคาแรคเตอร์จัดๆ แบบนี้กลายเป็นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยเมื่อได้ฟังสิ่งที่ ธิดารัตน์ รุ่งอัมพรกุล เจ้าของโรงแรม Mayu Bangkok เล่าถึงความหลงใหลในประเทศญี่ปุ่นจนต้องถ่ายทอดออกมาเป็นโรงแรมแห่งนี้

เธอบอกว่าต้องเดินทางไปแสวงหาแหล่งออนเซนใหม่ๆ ตลอด ไปสั่งผงน้ำแร่นำเข้ามาใช้กับธุรกิจออนเซนที่ทำมาก่อนหน้า ไปมาตั้งแต่เหนือจรดใต้ ไปมาทุกเมืองในญี่ปุ่น

“เดิมทีที่นี่เป็นบ้านเก่าที่ไม่ใช่หน้าตาแบบนี้ แต่เราทำบริษัทรับเหมาอยู่แล้วเลยทำเองตกแต่งเอง เริ่มแรกเมื่อ 5 ปีที่แล้วเรามีออนเซนก่อน (Kashikiri Onsen & Spa) แล้วมีลูกค้ามาถามอยู่ตลอดว่าเราน่าจะมีที่พัก มาแล้วเพลียๆ ก็อยากหาที่นอน เราก็รับคอมเมนท์นี้ไว้ ก็คิดว่าถ้าเราทำจะได้ครบวงจรเหมือนที่ญี่ปุ่น เพราะจริงๆ ที่ญี่ปุ่นไม่ได้มีที่แช่ออนเซนแบบ Private แบบนี้ทั่วไป เขาจะต้องมีอยู่ในเรียวกัง จนเราได้ที่แปลงนี้มาอยู่ติดกับออนเซนพอดี”

 ภ่่าพ: ปริญญา ชาวสมุน

นอกจากทำเลจะทำให้บรรยากาศเป็นส่วนตัว จำนวนห้องพักเพียง 12 ห้อง ช่วยจำกัดคนที่เข้ามาใช้บริการไม่ให้พลุกพล่านจนเกินไป โดยแบ่งห้องออกเป็น 6 แบบ

Deluxe ธรรมดา, Deluxe with Onsen, Family Suite, Honeymoon Suite, Triple Room และ Villa ความแตกต่างของห้องแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับขนาดห้อง การตกแต่ง และฟังก์ชั่นของห้อง แต่โดยพื้นฐานของทุกห้องจะถูกปูพื้นด้วย ‘เสื่อตาตามิ’ และใช้ ‘ฟูกฟุตง’ เท่านั้น แล้วไปชี้ขาดกันในเรื่องหลักๆ คือ มี 'ออนเซนส่วนตัว' กับ 'ไม่มีออนเซน'

ข้อดีของการเลือกห้องที่มีออนเซนคือจะได้พักผ่อนอย่างครบวงจร ได้ทั้งความสบายจากฟังก์ชั่นต่างๆ ภายในห้องที่คัดสรรมาอย่างดีที่สุด แล้วผ่อนคลายกับการแช่ออนเซนที่ไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาดและความเป็นส่วนตัว เพราะอ่างออนเซนอยู่เป็นสัดเป็นส่วนภายในห้องเรียบร้อยแล้ว สำหรับคู่รักที่ความรักยังหวานฉ่ำ ห้องแบบ Honeymoon Suite จะเป็นอ่างออนเซนคู่รักแช่ด้วยกันได้ หรือถ้าความรักเริ่มจืดจาง การได้แช่น้ำแร่อุ่นๆ อยู่กับคนตรงหน้า คืนวันอันงดงามอาจจะหวนกลับมา

“เสื่อตาตามิเรานำเข้ามาจากญี่ปุ่น ส่วนฟูกฟุตงเราสั่งทำที่ประเทศไทย โดยเอาผ้ามาจากญี่ปุ่น ผ้าห่มเราก็ไม่ได้ใช้ผ้าห่มแบบโรงแรมทั่วไป ต้องเป็นผ้าญี่ปุ่นที่เย็บนวมสไตล์เขา เราพยายามทำให้เหมือนญี่ปุ่นมากที่สุด ของตกแต่งก็นำเข้าแทบทั้งหมด”

 ภาพ: ปริญญา ชาวสมุน

ถึงจะถอดแบบมาจากแดนปลาดิบแต่ก็ต้องยอมรับว่ายังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น สภาพอากาศที่ร้อน จนต้องระดมกำลังมากกว่าปกติเพื่อทำให้ 'สวนหย่อมญี่ปุ่น' ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดขายของโรงแรมได้สวยใกล้เคียงต้นตำรับ จุดนี้ต้องยอมรับว่าเรี่ยวแรงที่ทุ่มเทไปไม่เสียเปล่า เพราะท่ามกลางอากาศร้อนจัดของกรุงเทพฯ ยังเห็นเฟิร์นและมอสขึ้นอย่างเขียวครึ้มได้ในสวนที่นี่

ความเป็นญี่ปุ่นชนิดเหมือนหลุดเข้าไปในบ้านของลูกหลานซามูไร มีที่มาจากโรงแรมเรียวกังแห่งหนึ่งใจกลางเมืองเกียวโต รู้กันดีว่าที่เกียวโตไม่มีเรียวกังไหนมีออนเซน แต่ธิดารัตน์ไปตามหาจนเจอ เธอเก็บความประทับใจนั้นทั้งในแง่หน้าตาของโรงแรม, ความสะดวกสบายที่ได้รับ และแนวคิดที่จะทำให้เมืองที่ไม่มีออนเซนได้เป็นทางเลือกของคนที่ชอบสิ่งคล้ายกัน

“ที่นี่จึงเป็นเหมือนสถานที่ลับ รอบนอกคือตึกสูงหมดเลย แต่เราเป็นสวนเขียวๆ มีเสียงนกร้อง เงียบสงบ เราตั้งคอนเซปต์ตั้งแต่แรกตั้งแต่ทำสปาคือทุกอย่างต้องเป็น Private เราดูแลแบบ Personalize Service ดูแลลูกค้าแต่ละคน จดจำบุคคล จดจำรายละเอียดลูกค้า ลูกค้าจะรู้สึกว่าเขาคือคนพิเศษ

แม้แต่อาหารเช้าเราก็ใช้คอนเซปต์เดียวกับญี่ปุ่นคือเลือกเวลารับประทานได้ สมมติลูกค้านัด 9 โมง มาตามเวลาก็รับประทานได้เลย สำรับเราจะมารอก่อนลูกค้ามาแบบนาทีต่อนาที ซึ่งการที่เราทำแบบญี่ปุ่นก็เพิ่งมีนักการทูตจากญี่ปุ่นมาพักที่เราเพราะติดล็อคดาวน์ประเทศเขา เขาคิดถึงบ้านที่โอซาก้าก็มาพัก แล้วคอมเมนต์ว่าเหมือนเขาอยู่บ้านเลยนะ เราก็พยายามคัดสิ่งที่ทุกคนน่าจะชอบ”

 ภาพ: ปริญญา ชาวสมุน

ทุกสิ่งที่เลือกสรรด้วยคนรักแดนปลาดิบ สะท้อนผ่านรายละเอียดต่างๆ ทุกกระเบียดนิ้ว แม้แต่ของเล็กๆ น้อยๆ อย่างถุงใส่ของใช้ในห้องก็เป็นงานตัดเย็บจากผ้าญี่ปุ่น ซองคีย์การ์ดก็ทำเป็นถุงนำโชคแบบที่คนญี่ปุ่นนิยมให้กันในวันปีใหม่ ภายในห้องมีชุดยูกาตะให้แขกทุกคนที่เข้ามาพักสวมใส่ ถ่ายรูปเก๋ๆ กับมุมต่างๆ ที่ถ้าไม่บอกก็คิดว่าอยู่ญี่ปุ่นแน่นอน ซึ่งชุดยูกาตะของโรงแรมนี้เป็นตัวบ่งชี้ความเอาใจใส่จนแทบจะปรบมือให้

เพราะเจ้าของโรงแรมเปิดเผยว่า ชุดยูกาตะที่นี่หลากหลายมากทั้งลวดลายและขนาด

“เรามีชุดยูกาตะไว้ให้หลากหลาย โรงแรมที่ญี่ปุ่นหลายแห่งจะมีชุดยูกาตะแบบเดียวกันทั้งโรงแรม เราคิดว่าต้องมีให้ลูกค้าได้เลือก เพราะความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบสีเข้มๆ บางคนชอบสีสันสดใส และขนาดเราก็มีสำหรับคนทุกเพศทุกวัย แม้กระทั่งสาวสองที่ต้องใส่ชุดผู้หญิงแต่ต้องตัวใหญ่เราก็มีให้ หรือสาวห้าวเราก็มีชุดยูกาตะผู้ชายที่ไซส์เล็กๆ ด้วย ส่วนโอบิหรือสายคาดเอวอย่างของผู้หญิงเราก็เลือกสีที่เข้าได้กับทุกชุด เป็นสีที่ผู้หญิงชอบ เช่น ม่วงอ่อน ชมพูอ่อน”

 ภาพ: ปริญญา ชาวสมุน

เพื่อตอกย้ำความเจแปน แม้กระทั่งอาหารเช้าก็เป็นแบบเซตโตะสไตล์ญี่ปุ่น เรียกว่าจัดเต็มด้วยวัตถุดิบนำเข้าจากแดนอาทิตย์อุทัย อาทิ ปลาแซลมอน, ข้าว, ผักแกล้ม, ผักดอง ฯลฯ ผ่านกรรมวิธีที่ธิดารัตน์บอกว่าคือมาตรฐานเดียวกับที่เธอกินและเธอชอบ หนังปลาแซลมอนต้องกรอบ เนื้อปลาต้องฉ่ำนุ่ม ข้าวต้องเป็นข้าวญี่ปุ่นจริงๆ ไม่ย้อมแมวเอาข้าวอื่นมาทำ ซึ่งคนที่จะได้อร่อยกับอาหารเช้าสุดพรีเมียมแบบนี้ต้องเป็นแขกของโรงแรมเท่านั้น เพราะด้วยต้นทุนสูงมาก จึงเปิดขายให้ลูกค้าภายนอกไม่ได้

หากถอดความจากคำ Mayu ในภาษาญี่ปุ่นมีสองความหมาย อย่างแรกคือ ความงามอันบริสุทธิ์ อย่างที่สองคือ รังไหม เป็นความหมายที่ลงตัวคือให้ความอบอุ่นปลอดภัยเสมือนรังไหม และพ้องเสียงกับภาษาไทยว่า ‘มาอยู่’ ที่แขกทุกคนได้มาอยู่อาศัยภายใต้ชายคาของโรงแรมแห่งนี้อย่างสุขใจ

 ..................................................................

จุดเด่น : บรรยากาศแบบเรียวกังของญี่ปุ่น เงียบสงบ มีออนเซนส่วนตัว ใส่ใจรายละเอียดต่างๆ

ที่ตั้ง : อยู่ในซอยสุขุมวิท 49/2 เข้าออกได้ทั้งสุขุมวิท 49 และ 51 ใกล้ BTS พร้อมพงษ์และทองหล่อ

ราคา : 1,800 – 12,000 บาท (แล้วแต่ช่วงและโปรโมชั่น)

ติดต่อ : โทร. 06 2991 4666, อีเมล mayubangkokhotel@gmail.com และ Line ID : @mayubkk.hotel