คุณภาพชีวิต-สังคม
ด้วยรักและเข้าใจ "ฟ้าใส" นางฟ้าของครอบครัว

"ความรัก" คือคำตอบเดียวที่ทำให้เด็กหญิงฟ้าใสตัวน้อยในวัย 5 ขวบ ข้ามผ่านความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยที่แม้แต่ผู้ใหญ่ยังต้องโอดครวญ
"ความรัก" คือคำตอบเดียวที่ทำให้เด็กตัวเล็กๆแค่เพียง 5 ขวบ ข้ามผ่านความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่แม้แต่ผู้ใหญ่ยังต้องโอดครวญ พวกเขาพร้อมถ่ายทอดเรื่องราวแสนประทับใจของน้องฟ้าใส เด็กหญิงพรรณรมณ แสงสุรัตน์ กับดวงใจที่เชื่อมโยงกันไว้รักษาบาดแผลทางกายและใจของกันและกันได้อย่างอัศจรรย์กายใจได้มีโอกาสไปสัมผัสความรักที่เกิดจากความเข้าใจและความอบอุ่นของครอบครัวหนึ่ง ที่คุณแม่(ปวีณา ตติยพรสุข) คุณพ่อ(สาโรจน์ แสงสุรัตน์) มีต่อนางฟ้าใสคนเก่งของครอบครัว นั่นคือ น้องฟ้าใส(ด.ญ.พรรณรมณ แสงสุรัตน์)น้องฟ้าใส เป็นเด็กผู้หญิงอายุเพียงแค่ 5 ขวบ แต่ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตทางด้านสุขภาพตั้งแต่ยังเด็ก คือ ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่สมอง ตั้งแต่อายุ 5 เดือน จึงต้องทำการผ่าตัดใหญ่ และทำเคมีบำบัดตั้งแต่ยังไม่ขวบดี จึงทำให้เกิดความผิดปกติทางด้านสายตา น้องฟ้าใสจึงต้องเผชิญกับความมืดมนตั้งแต่นั้นมา แต่สิ่งนั้น ไม่อาจทำให้ความรักของคุณแม่ ปวีณา และคุณพ่อ สาโรจน์ ที่มีต่อน้องฟ้าใสลดน้อยถอยลงเลย แต่กลับยิ่งทำให้ครอบครัวนี้เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรัก ความเข้าใจ การเอาใจใส่ดูแล และเสียสละแก่กันและกันได้ดียิ่งขึ้นช่วงเวลาแห่งการยอมรับ เมื่อตรวจพบก้อนเนื้องอกขนาด 5 เซนติเมตร ทับบริเวณแกนสมอง ตอนน้องฟ้าใสอายุได้ 5 เดือน คุณแม่ปวีณา เล่าว่า ต้องผ่าตัดโดยสามารถเอาออกได้ 95 เปอร์เซ็นต์(ซึ่งตรวจพบว่าเป็นก้อนเนื้อร้ายเป็นมะเร็งขั้นที่ 4) ส่วนอีก 5 เปอร์เซนต์นั้นต้องรับการทำเคมีบำบัดรักษาถึง 16 คอร์สครั้งแรกเมื่อรับรู้ว่าลูกตนเองเผชิญกับมรสุมครั้งใหญ่ของชีวิต คุณแม่ปวีณาถึงกับทำอะไรไม่ถูก ตั้งรับไม่ทัน ได้แต่ร้องไห้คิดแต่ว่าทำไมถึงเกิดเหตุการแบบนี้ขึ้นกับลูก เพียรตั้งคำถามอยู่อย่างนั้น แต่ด้วยกำลังใจจากครอบครัวจึงได้ตั้งสติได้และเลิกถามว่าทำไมต้องเกิดกับลูกเรา และคิดได้ว่าต้องทำใจให้สบาย ลูกต้องการแม่ คิดเพียงอย่างเดียวว่าต้องรักษาลูกให้หาย ภาวนาให้เขาปลอดภัย ต้องฟื้นจากอาการโคม่าให้ได้ เธอใช้เวลาตั้งสติได้จริงๆคือ 1 สัปดาห์หลังจากทราบจากคุณหมอ แต่ในเรื่องของการร้องไห้นั้นเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้จริงๆ แต่พยายามที่จะสะกดไว้ ไม่ร้องไห้ให้ลูกเห็น คุณแม่ปวีณาบอกว่า ณ เวลานั้นต้องขอบคุณที่สุด คือคุณพ่อสาโรจน์ ที่ให้กำลังใจตลอด ไม่ทิ้งไปไหน ยังคงอยู่กันเป็นครอบครัว และทำเพื่อลูก เพื่อครอบครัวที่เรารักหลังจากการรักษาตอนนั้น น้องฟ้าใสกลับมาน่ารัก ร่าเริง สดใส สมวัยด้วยพลังความรักและการเลี้ยงดูจาก คุณแม่ปวีณา และคุณพ่อ สาโรจน์ แม้ว่าลูกตนเองจะมองไม่เห็น ทั้ง 2 ท่านก็เป็นดวงตาให้กับลูกได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังเลี้ยงดูลูกแบบเข้าใจ ไม่ปิดกั้นลูก ให้ลูกได้เรียนและได้ลองทำในสิ่งที่น้องฟ้าใสไม่เคยทำ ให้น้องมีพัฒนาการเช่นเด็กทั่วไป โดยคุณพ่อและคุณแม่ ได้เปิดโอกาสให้ลูกได้เรียน เปียโน ร้องเพลง ว่ายน้ำ ฝึกทักษะทางด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งสิ่งเหล่านี้น้องฟ้าใสสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม แต่จะชอบมากเป็นพิเศษคือการเรียนดนตรีและร้องเพลง ในด้านการสื่อสารกับคนทั่วไปนั้นน้องฟ้าใสเองก็มีความกล้าที่จะแสดงออก กล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวันแต่ความสุขมักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน เมื่อมีบททดสอบใหม่มาท้าทายจิตใจของทั้งครอบครัว นั่นคือ น้องฟ้าใสเกิดอาการปวดท้องมากอย่างไม่ทราบสาเหตุ ต้องทำ CT สแกนกว่า 3 ครั้ง จึงได้พบว่า เพราะน้ำในโพรงสมองมีเยอะเกินไป เกิดความดันซึ่งอันตรายถึงขั้นที่อาจชักและเสียชีวิตได้ จึงต้องรับการผ่าตัดใหญ่อีกครั้ง ในการผ่าตัดครั้งนี้ คุณแม่ปวีณาต้องอยู่ดูแลน้องฟ้าใสตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ในวันจันทร์-ศุกร์ ส่วนคุณพ่อสาโรจน์จะเปลี่ยนกับคุณแม่ปวีณา ในวันเสาร์และอาทิตย์ ส่วนวันธรรมดานั้น คุณพ่อสาโรจน์จะแวะเวียนมาเป็นแผนกส่งข้าวส่งน้ำให้กับ ลูกและคุณแม่ ทั้งตอนเช้า เที่ยง และเย็น เนื่องจากจะต้องทำงานและทางโรงพยาบาลเองอนุญาตให้เยี่ยมได้เป็นช่วงเวลาเท่านั้น แต่โชคดีที่คุณพ่อสาโรจน์มีอาชีพเป็นโบรกเกอร์ จึงมีเวลาพัก 2 ชั่วโมง ทำให้มีเวลาอยู่เล่นกับน้องฟ้าใสและปล่อยให้คุณแม่ปวีณาได้พักบ้างคุณพ่อสาโรจน์ เล่าว่า อุปนิสัยน้องฟ้าใสเองเป็นคนอารมณ์ดี ร่าเริง แต่ในช่วงที่ผ่าตัดรอบนี้น้องจะอารมณ์ร้ายขึ้นเนื่องจากผลข้างเคียงของยา ซึ่งคุณหมอเองก็บอกไว้และพยายามปรับยาให้มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด จึงต้องทำให้น้องฟ้าใสอารมณ์ดีให้มากที่สุด ทั้งฟังเพลง ร้องเพลง ให้น้องฟ้าใสสบายใจที่สุด แต่คนที่รับภาระต้องดูแลน้องฟ้าใสตลอดเวลา 24 ชั่วโมงก็คือคุณแม่ ซึ่งคุณพ่อสาโรจน์เข้าใจว่าคุณแม่ปวีณาย่อมเกิดอาการเครียดบ้าง คุณพ่อสาโรจน์จึงมีหน้าที่ให้กำลังใจและคอยปลอบโยนคุณแม่ รวมถึงให้คลายเครียดจากการอยู่โรงพยาบาลบ้างในช่วงเสาร์ อาทิตย์ โดยการให้คุณแม่ปวีณาได้พักผ่อนและทำในสิ่งที่คุณแม่ปวีณาชอบ นั่นคือ การเดินเล่น และการชอปปิ้งบ้าง คุณพ่อสาโรจน์ยังบอกอีกว่าสิ่งสำคัญที่สุดของครอบครัวเราก็คือ ความรักและความเข้าใจ ซึ่งคุณพ่อขอทุ่มไปสุดตัวเพื่อครอบครัว แม้จะเหนื่อยแต่เมื่อเห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ของน้องฟ้าใสและคุณแม่ปวีณาแล้ว ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ช่วงเวลาแห่งความรักและกำลังใจในช่วงที่น้องฟ้าใสเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ครั้งที่ 2 นี้คุณแม่ปวีณา เล่าว่า กำลังใจคือสิ่งสำคัญที่สุด ให้น้องฟ้าใสได้รับแต่พลังความรัก ความเข้มแข็ง ความอบอุ่น พยายามผ่อนคลาย ไม่เครียด พยายามถ่ายทอดความเข้มแข็งและความสุขให้กับน้อง แม้ว่าจะมีบางช่วงเวลาที่ต้องร้องไห้บ้าง ก็จะพยายามไปร้องไห้ที่อื่น ไม่ให้น้องฟ้าใสสัมผัสและรับรู้ได้ และด้วยพลังแห่งความรักที่คุณแม่ปวีณา และคุณพ่อสาโรจน์ได้มอบให้น้อง น้องสามารถรับรู้ได้ถึงพลังนั้น จึงทำให้น้องฟ้าใส เป็นเด็กดี น่ารัก ไม่ดื้อ อีกทั้งยังคอยเป็นกำลังใจให้ ทั้งคุณแม่ปวีณาและคุณพ่อสาโรจน์อีกด้วย น้องฟ้าใส พูดถึงคุณแม่ปวีณากับกายใจว่า หนูรักคุณแม่เท่าจักรวาล My mom, My hero. My hero หมายถึง ผู้พิทักษ์ คอยดูแลหนู คอยอาบน้ำให้หนู คอยป้อนข้าวหนู คอยทำทุกอย่างให้หนู อยากบอกว่า แม่จ๋าหนูรักแม่ หนูจะเป็นเด็กดี เชื่อฟัง คำพูดของเด็กน้อยทำให้กายใจถึงกับอิ่มใจ นี่คือสิ่งที่น้องฟ้าใสให้กำลังใจคุณแม่ ในยามที่น้องฟ้าใสเจ็บปวดจากอาการเจ็บป่วย สิ่งที่คุณแม่ปวีณาทำได้คือการกอด และคอยปลอบโยน จนน้องอาการดีขึ้น ซึ่งน้องฟ้าใสบอกว่า หนูชอบเวลาที่แม่กอดหนู หนูรู้สึกสบายใจ สบายตัว สบายทุกอย่างในตัว ทำให้ลืมทุกอย่างได้และนั่นคือ ความรักที่แม่ถ่ายทอดสู่ลูก และลูกก็สัมผัสได้จริง ไม่น่าเชื่อว่า ความรักแค่เพียงสิ่งเดียวจะสามารถทำให้เด็กตัวเล็กๆแค่เพียง 5 ขวบ ข้ามผ่านความเจ็บปวดทั้งหลายเหล่านี้ได้ แต่นั่นคือเรื่องจริงจากปากของน้องฟ้าใส นางฟ้าตัวน้อยของแม่ปวีณา ทุกครั้งที่ลูกเจ็บปวด หัวใจของผู้เป็นแม่ย่อมเจ็บปวดไปด้วย จึงพูดออกมาว่าแม่อยากให้ความเจ็บปวดที่ฟ้าใสได้รับส่งต่อมาให้แม่เถอะ ให้แม่รับความเจ็บปวดนั้นเองทั้งหมด เมื่อน้องฟ้าใสได้ยิน น้องตอบคุณแม่กลับมาว่า ไม่ค่ะ หนูไม่อยากให้แม่เจ็บ หนูจะอดทน นั่นคือความเข้มแข็งของตัวน้องฟ้าใส และ ความรักที่น้องถ่ายทอดสู่ผู้เป็นแม่ นั่นคือกำลังใจอย่างสูงสุดที่ได้รับจากลูกน้อยวัย 5 ขวบ ที่จะทำให้คุณแม่เองท้อถอยไม่ได้ ช่วงเวลาแห่งการเลี้ยงดูคุณแม่ปวีณา และคุณพ่อสาโรจน์ เลี้ยงลูกโดยสอนลูกเหมือนกับเด็กทั่วไป โดยส่งเสริมทักษะต่างๆ ปูพื้นฐานให้กับลูก เพื่อที่ ณ วันหนึ่ง ที่พวกเขาไม่อยู่ น้องฟ้าใสจะสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวของตนเอง เธอบอกว่า การที่น้องฟ้าใสมองไม่เห็น ไม่ได้แปลว่า น้องจะทำอะไรไม่ได้ ซึ่งคุณแม่เชื่อว่าน้องมีศักยภาพที่จะทำได้ทุกอย่าง ฉะนั้นจึงอยากให้น้องฟ้าใสลองก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจว่าน้องทำอะไรไม่ได้ ต้องลองจึงจะรู้ว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ ให้เขาเรียนรู้ประสบการณ์ทุกอย่างได้ด้วยตัวของน้องเองพ่อแม่บางท่านอาจระวังแทนลูกมากเกินไป ซึ่งนั่นส่งผลเสียต่อตัวลูกเองมากกว่า คุณแม่ปวีณามักพูดกับน้องฟ้าใสเสมอมาว่า แม่เชื่อว่าลูกของแม่เป็นคนเก่ง แม่เชื่อว่าลูกทำได้ แล้วลูกจะทำได้จริงๆเพราะเราไม่ได้ไปตัดสินเขา จากสิ่งที่เขาเป็นคุณพ่อสาโรจน์เองก็ค้นพบว่าพรสวรรค์ของลูกหลังจากให้ลองทำในหลายๆสิ่ง ที่ชอบและทำได้ดีและมีความสุขคือ พรสวรรค์ทางด้านดนตรีของน้องฟ้าใส สิ่งหนึ่งที่ทำให้พัฒนาการของน้องฟ้าใสดีขึ้นขนาดนี้เพราะส่วนหนึ่งคุณพ่อสาโรจน์เองหมั่นค้นคว้าหาความรู้ ซึ่งแหล่งความรู้ที่ดีที่สุด คือผู้ปกครองที่ผ่านประสบการณ์การเลี้ยงดูลูกที่มีความผิดปกติทางสายตามาก่อน คุณพ่อพบว่ามีเด็กหลายคนที่ได้รับการพัฒนาที่ถูกต้อง ทำให้เด็กเหล่านั้นสามารถที่จะช่วยเหลือตนเอง ไปเรียนต่างประเทศและใช้ชีวิตตามลำพังได้ด้วยตัวของตนเอง ซึ่งนั่นถือเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากๆ คุณพ่อสาโรจน์จึงได้ทำการเรียนรู้จากครอบครัวต่างๆเพื่อเป็นการปูทางพัฒนาการต่างๆ ของน้องฟ้าใส ซึ่งในอนาคตก็หวังเอาว่าพัฒนาการเหล่านี้จะทำให้น้องฟ้าใสจากที่มองไม่เห็น ก็กลับมามองเห็นแม้เพียงเลือนราง แต่นั่นก็คือความหวังที่พ่อคนหนึ่งจะไม่หยุดหวังเด็ดขาด และยังคงมองลู่ทางเอาไว้ว่า ในอนาคตก็มีเล็งๆเอาไว้ว่าจะส่งน้องฟ้าใสไปใช้ชีวิตเพื่อเรียนรู้ในต่างประเทศเช่นกันสิ่งสำคัญที่คุณพ่อสาโรจน์อยากขอเตือนผู้ปกครองที่กำลังเผชิญสภาวะเช่นเดียวกับคุณพ่อ นั่นคือ อย่ามองลูกว่าเป็นคนพิการ ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งจริงๆแล้วลูกเราเขามีศักยภาพเหมือนคนปกติทั่วๆไป แค่เพียงเราไม่ไปปิดกั้นเขา เปิดให้เขาได้แสดงความสามารถ เขาก็จะทำได้ทุกอย่าง เราแค่จัดระเบียบให้เขาว่าของใช้อยู่ตรงไหน ต้องหยิบตรงไหน เดินตรงไหนเท่านั้นเอง อย่าไปอายที่ลูกเป็นคนตาบอดจนไม่กล้าที่จะพาลูกออกไปไหน สมัยนี้ไม่มีใครที่เขาเอาเรื่องเหล่านี้มาล้อกันแล้ว สังคมเปิดกว้างมาก ฉะนั้นจงอย่าปิดกั้นเขา ให้ท่องเอาไว้เสมอว่า เขาทำได้ช่วงเวลาแห่งความภาคภูมิใจคุณพ่อสาโรจน์ บอกกับกายใจว่า ทุกวันนี้ เขาภูมิใจในตัวลูกสาวคนเก่งที่น้องฟ้าใสเองเป็นคนจุดประกายคนในสังคมให้ลุกขึ้นสู้ได้ จนมีคนรู้จักเยอะ มีคนรักและมาให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอเวลาที่ออกไปพบปะผู้คน ภาคภูมิใจที่คนในสังคมให้ความรักและการต้อนรับลูกดีขนาดนี้ด้านคุณแม่ปวีณา บอกว่า ไม่เคยคาดคิดว่าลูกตนเองจะมีแฟนคลับเยอะขนาดนี้ ต้องขอบคุณพลังจากทุกท่านที่มารักและให้กำลังใจน้องฟ้าใส นั่นคือพลังส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีพลังขึ้น และทำให้เราภาคภูมิใจในตัวลูกแต่สิ่งที่ภาคภูมิใจสูงสุดของคุณแม่ปวีณา ก็คือ น้องฟ้าใสเป็นคนจุดประกายให้คนที่ป่วยลุกขึ้นมาสู้ใหม่อีกครั้ง ไม่เคยคาดคิดเลยว่าน้องฟ้าใสจะมีพลังมากมายถ่ายทอดให้กับคนที่ป่วยได้ลุกขึ้นอีกครั้งมากมายขนาดนี้ มีคนเขียนมาพูดคุยมากมาย นี่คือ ความภูมิใจสูงสุดในคุณค่าของลูกเรา แม้จะตัวเล็กแค่เพียง 5 ขวบแต่สามารถช่วยเหลือคนให้เขาลุกขึ้นสู้ใหม่ เป็นสิ่งที่บรรยายไม่ถูกจริงๆคุณแม่ปวีณา พูดเสมอว่า น้องฟ้าใสนั้นเป็นเด็กที่ไม่เคยเหนื่อยใจ เธอเป็นเด็กที่เข้มแข็งเสมอมา พลังของฟ้าใสนั้นเยอะมาก ถ้าจะเหนื่อยก็คงเป็นเรื่องกายภาพ ซึ่งตรงนี้คุณแม่ก็ช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ให้เขามีพลังในการทำกายภาพ ด้วยการคอยนวดให้ คอยเตรียมสิ่งของให้ เพื่อที่ลูกจะได้ทำกายภาพบำบัดได้อย่างเต็มที่ความหวังสูงสุดในตัวน้องฟ้าใสสิ่งที่คุณแม่ปวีณาและคุณพ่อสาโรจน์ หวังไว้สูงสุดก็คือ หวังเพียงแค่ให้น้องฟ้าใสเติบโตมาเป็นคนที่มีสุขภาพกายใจดี และเป็นคนที่มีชีวิตที่มีความสุขที่สุด แค่นั้นเพียงพอแล้วก่อนกายใจจะกลับได้พูดคุยกับน้องฟ้าใส น้องฟ้าใสพูดทิ้งท้ายว่า “ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านด้วยนะคะ” นี่คือสิ่งที่เด็กหญิงวัย 5 ขวบ ทิ้งท้ายไว้ได้อย่างกินใจยิ่ง หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากำลังใจที่น้องฟ้าใสพูดออกมาให้ทุกท่านนั้นจะย้อนกลับมาเป็นกำลังใจให้กับน้องฟ้าใสเป็นร้อยเท่าพันทวีเช่นกัน หากท่านใดอยากติดตามน้องฟ้าใส สามารถไปให้กำลังใจกับน้องได้ที่ facebook ชื่อว่า น้องฟ้าใส นางฟ้าของแม่