Dr.Tom Wu ธรรมชาติเปลี่ยนชีวิต

Dr.Tom Wu
ธรรมชาติเปลี่ยนชีวิต

บุรุษวัยใกล้ 80 ผู้เคยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 3 แต่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยไม่พึ่งเคมีบำบัดหรือผ่าตัด เขาพร้อมเผยความจริง

บุรุษวัยใกล้ 80 ผู้เคยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 3 แต่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยไม่พึ่งเคมีบำบัดหรือผ่าตัด เพราะปาฏิหาริย์หรือ บ้างว่าธรรมชาติต่างหากที่สร้างทางรอดให้กับผู้ชายคนนี้ ดร. ทอม อู๋ (Dr.Tom Wu) พร้อมเผยความจริงแท้และแน่นอนของชีวิตมนุษย์ผ่านเรื่องราวสุขภาพของเขาเองและผู้ป่วยทั่วโลก

เขาเป็นคนหนึ่งที่ "เชื่อมั่น" ในการแพทย์แผนตะวันตกอย่างหัวปักหัวปำ อาจเพราะการศึกษาเข้มข้นตลอดวัยเรียน และด้วยบทบาทของแพทย์รักษาผู้ป่วยโรคปอดมาเกือบค่อนชีวิต บวกกับความ "มืดบอด" ไม่รู้ว่ายังมีหลักการใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่แสนจะ "ธรรมดา" และเป็น "ธรรมชาติ" ที่สุด จนกระทั่งวันหนึ่งที่ "หมอต้องป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะที่ 3" เขาจึงค้นพบว่า การรับประทานอาหารผิดเพี้ยน อัดแน่นไปด้วยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ คาร์โบไฮเดรตเต็มเปี่ยม และความคลุกคลีกับผู้ป่วยเป็นเวลานาน สร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนเกินบรรยาย

หลังจากแพทย์บอกกับว่าชายผู้นี้จะมีชีวิตเหลืออยู่เพียง 4 เดือนเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าไม่ขอเข้ารับการผ่าตัด แต่ขอพึ่งพาแรงศรัทธาจากพระเจ้า เมื่อคัมภีร์ไบเบิ้ลตกลงที่พื้นแล้วปรากฏข้อความเปลี่ยนชีวิต เปรียบดั่งแสงสว่างราวปาฏิหาริย์ “จงรักษาด้วยผักที่ไร้รสชาติบนพื้นดินและผลไม้รสเปรี้ยวบนต้นไม้” แรงบันดาลใจครั้งนั้นส่งผลให้เขาหันมาทดลองรับประทานผักและผลไม้สดที่มีรสเปรี้ยวเท่านั้น โดยไม่รับประทานอย่างอื่นเลย และดื่มน้ำสะอาด เดินอาบแดด ฝึกชี่กง พักผ่อนให้มาก เขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างช้าๆในทิศทางที่ดีขึ้น จากนั้นด้วยเวลาเพียง 6 เดือน แพทย์แจ้งว่ามะเร็งไม่สามารถทำร้ายเขาได้อีกแล้ว และเดือนที่ 9 เสียงสวรรค์ดังกังวาน...เขาหายขาดจากโรคร้ายนี้อย่างสิ้นเชิง

ตอนนี้ ดร. ทอม อู๋ ผู้เลือกศึกษาเพิ่มเติมด้านเวชศาสตร์ทางเลือกจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติจากสหรัฐอเมริกา และเจ้าของผลงานเขียนหนังสือ “ธรรมชาติ ช่วยชีวิต” ทั้ง 3 เล่ม ได้แก่ หลากวิธีดูแลและรักษาสุขภาพด้วยผักผลไม้และเมล็ดพืช และ 100 คำถามเจาะลึกเพื่อสุขภาพ รวมทั้งฉบับล่าสุด ฉบับโรคภัยหายได้จริง เขาพร้อมที่จะเปิดเผยทุกแง่มุมการใช้ชีวิตทั้งที่เคยผิดพลาดและค้นพบหนทางสว่างทางสุขภาพ

กายใจ : ทำไมคนเป็นหมอถึงป่วย

ดร. อู๋ : ก่อนที่จะพบว่าผมเป็นมะเร็ง ผมทานเนื้อเยอะมากๆ เพราะเชื่อว่าถ้าอยากได้สารอาหารที่ครบถ้วน เราต้องกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ผมกินไก่ครั้งหนึ่งประมาณครึ่งตัวได้เลย แล้วก็รับประทานพวกขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว เบคอน แฮม นม เนย จะดื่มกาแฟก็ต้องเติมนม ดื่มไวน์แดงในมื้อเย็น ตอนนั้นผมคิดว่าอาหารที่กินไปครบถ้วนแล้ว ในขณะเดียวกันผมก็สัมผัสกับผู้ป่วยอาการหนัก การทำงานที่ยาวนานตั้งแต่ 9 โมงถึงทุ่มหนึ่ง คงจะได้รับเชื้อมา มันเลยประกอบกันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอดที่เคยเผชิญเมื่อตอนผมอายุ 30

มันยังมีประสบการณ์รักษาที่คนเป็นหมอก็พลาดได้เหมือนกัน ต้องยอมรับว่าความรู้โรคมะเร็งช่วง 40-50 ปีที่ผ่านมายังไม่แพร่หลายเท่าตอนนี้ ทำให้ตอนนั้นที่รู้ว่าเป็นโรค ก็รับประทานยาปฏิชีวนะ เพราะเชื่อว่ามะเร็งเกิดจากเชื้อโรค แต่ทานยาเท่าไร อาการก็ไม่ดีขึ้น พอไปพบหมอเฉพาะทาง ท่านวินิจฉัยว่ามีเนื้องอกที่ปอดด้านซ้าย 2 จุด จึงแนะนำให้ผ่าตัด ในสมัยก่อนผมคิดว่าการเอ็กซ์เรย์ยังไม่ทันสมัย มันอาจไม่ได้มีแค่ 2 จุดก็ได้ เลยบอกหมอไปว่า ถ้าผ่าแล้วมันมากกว่า 2 จุด ก็ไม่ต้องไปสนใจมันแล้ว หมอเลยแนะนำให้ทำเคมีบำบัดควบคู่ไปด้วย ตอนนั้นตั้งคำถามว่ารักษาแล้วจะเป็นอย่างไร หมอตอบไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะยื้อชีวิตไปได้อีก 4 เดือน ตอนนั้นผมก็อยู่ในช่วงเดียวกับทุกคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมะเร็งแล้วต้องรอความตายอย่างเดียว แม้จะไม่ถอดใจในการรักษาทางแผนตะวันตก แต่ความรู้สึกท้อแท้ค่อยๆกัดกินใจไปเรื่อยๆ

กายใจ : แล้วตอนนั้นจัดการกับความคิดและร่างกายตัวเองอย่างไร

ดร. อู๋ : แม้ผมจะเรียนมาแต่ทางแพทย์ตะวันตก แต่ก็มีความศรัทธาและความเชื่อในพระเจ้า (ศาสนาคริสต์) คืนหนึ่งผมนำไบเบิ้ลมาสวดเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ แต่ก็พลาดทำตกพื้น แล้วอยู่ๆหนังสือก็กางหน้า 29 บทที่ 7 บทสร้างโลก ว่าด้วยเรื่องอาหารของมนุษย์คือเมล็ดพันธุ์ที่เติบโตบนโลก แม้จะกังวลและลังเลกับสิ่งที่เห็น เพราะขัดกับความรู้ที่เรียนมา แต่ผมปล่อยความสงสัยนั้นไว้แค่ 2-3 วัน จะว่าผมเชื่อในศาสนาอย่างมากก็ได้ ผมเชื่อในคัมภีร์ไบเบิ้ล เชื่อที่บอกว่าอดัมอายุยืนถึง 937 ปี เพียงเพราะกินอย่างที่พระเจ้าบอก มันจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ผมคิดอย่างนั้น จึงหันมารับประทานผักดิบและผลไม้บนต้นเท่านั้น เลิกดื่มชากาแฟอย่างเด็ดขาด เปลี่ยนมาดื่มแต่น้ำเปล่าอย่างเดียว

เพียง 6 เดือนหลังจากนั้น อาการป่วยก็ดีขึ้น พอ 3 เดือนต่อมากำลังวังชาก็กลับมาเหมือนปกติ แม้จะมีผลข้างเคียง อ่อนเพลียมาก อยากนอนตลอดเวลา ผมก็ปล่อยตัวเองให้นอน ไม่ดึงรั้ง และเริ่มต้นถ่ายท้อง 6-7 ครั้งต่อวัน แถมน้ำหนักลดก็ตาม แต่เรี่ยวแรงกำลังวังชากลับดีขึ้น เราสังเกตได้เลย ทำให้ไม่รู้สึกว่าน่าหวาดกลัว จากนั้นผมก็หาวิธีการออกกำลังกายที่ผมชอบ อย่างชี่กง และเดินรับแสงแดด สุขภาพก็ดีขึ้นๆเรื่อยๆ เลยเชื่อในความคิดนี้แล้วยึดมั่น ทำมาตลอดจนตอนนี้

ผมเชื่อว่า การเจ็บป่วยและความชราเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ การย้อนอายุไม่ใช่เป็นเพียงจินตนาการอีกต่อไป ขอแต่ยอมปรับเปลี่ยนความเคยชินในการกินอาหารและการใช้ชีวิต ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพดำรงอยู่ กุมกุญแจแห่งสุขภาพไว้ในมือตนเองได้อย่างแท้จริง

กายใจ : เมื่อตัวเองหายขาด ก็อยากจะเผยแพร่ให้คนอื่นรู้ใช่ไหม

ดร. อู๋ : พอกลับมาเป็นเหมือนเดิม (ก่อนที่จะป่วย) ผมก็คิดหนักเหมือนกันว่าจะกลับไปทำงานไหม แต่ก็ตัดสินใจว่าไม่กลับไปรักษาคนไข้แล้วเพราะอาจกลับมาป่วยอีกก็ได้ ในขณะที่ผมเองก็สนุกกับการค้นพบวิธีการธรรมชาติบำบัด จึงชักชวนคนในครอบครัวให้เปลี่ยนมาลองบริโภคตามวิถีนี้ และก็เริ่มค้นคว้าวิธีการพื้นบ้าน ไปเรียนรู้เพิ่มเติมด้านแพทย์ทางเลือก เรียนจนจบด็อกเตอร์ด้านโภชนาการ

จุดนี้เองก็เปลี่ยนวิธีการดูแลตัวเองไปอีกขั้นหนึ่ง จากเดิมที่กินไปทั่วแบบไร้หลักการ ไม่มีความรู้ แต่พอได้ศึกษาลึกขึ้นเรื่อยๆ ก็ตระหนักว่าการดูดซึมสารอาหารนั้น มีผลดีต่อการรักษามะเร็งเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ตอนนั้นผมอายุ 40 กว่าปีแล้ว มันไม่ใช่แค่ไร้โรค แต่สุขภาพต้องดีกว่าเดิมด้วย แล้วก็ค้นพบว่าสุขภาพดีต้องเห็นได้ชัดผ่านผิวหนังที่เปล่งปลั่ง จึงนำผักผลไม้มาปั่นด้วยเครื่องปั่นกำลังแรงสูง ผลลัพธ์ที่ได้คือย่นระยะเวลาในการรักษาได้เร็วขึ้น และยังทำให้ดูหนุ่มสาวกว่าอายุจริงเสียอีก

แต่ต้องยอมรับว่าทั้งในช่วงเริ่มต้นเผยแพร่การรักษาจนถึงตอนนี้ คนไข้หรือคนที่เข้ามารับคำปรึกษายังไม่เชื่อ 100% ในตอนแรก ผมเลยต้องบอกเขาไปว่า ถ้ายังเชื่อแต่ศาสตร์ตะวันตก ยังกินยามาก มะเร็งก็จะยังอยู่ เพราะฉะนั้นต้องใส่ความเชื่อมั่นลงไป คิดว่าต้องหายขาดจากมะเร็ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ต้องพิจารณาตัวเลขสารบ่งชี้ในแต่ละจุดของร่างกายก่อนจะใช้วิธีนี้ เพราะคนไข้แต่ละคนอาจต้องลดหรือเพิ่มสารอาหารบางตัวเพื่อให้เหมาะกับอาการของโรคนั้นๆ ด้วย

บางคนอาจจะยังค้านเพราะมีข้อมูลว่าคุณค่าของผักผลไม้อาจลดลง ซึ่งผมไม่เถียงเลย เพราะความจริงแล้วสิ่งที่ผมทดลองทำเมื่อหลายสิบปีนั้น ปัจจัยที่ต่างกันในปัจจุบันอาจให้ผลลัพธ์ไม่เท่ากัน ผมเคยอ่านเจอข้อมูลทางโภชนาการของผักป๋วยเล้ง 100 กรัม เคยให้วิตามินซีถึง 54% แต่ตอนนี้เหลือเพียง 10% เท่านั้นเอง เนื่้องจากสารอาหารในดินลดลง นั่นเป็นเหตุผลให้เราต้องเสริมสารอาหาร ซึ่งเป็นสารอาหารจากธรรมชาติ มาเพิ่มเติมส่วนที่พร่องไป เพื่อให้หายได้ทัน 9 เดือนอย่างที่ตั้งเป้าไว้

แต่ผมก็ไม่อยากให้ทุกคนกังวลกับข้ออ้างต่างๆที่จะไม่บริโภคผักหรือผลไม้ เพราะเชื้อราหรือแบคทีเรียที่เกิดตามธรรมชาตินั้น ร่างกายเราสามารถกำจัดได้เอง หากกลัวสารเคมี ก็แนะนำให้ล้างน้ำสะอาดมากๆ และแช่น้ำเกลือก็จะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่อีกทางที่อยากให้ลอง คือรับประทาน ขิง กระเทียม ผักชี รวมถึงเครื่องเทศ ใบสะระแหน่ อบเชย ก็จะช่วยยับยั้งเชื้อโรคไม่ให้เจริญเติบโต ฆ่าเชื้อ และลดโลหะหนักได้

กายใจ : นอกจากเปลี่ยนวิถีการกินแล้ว ยังต้องมีเคล็ดลับอื่นอีกไหม

ดร. อู๋ : เรื่องกินยังมีเทคนิคอยู่อีกว่า ช่วงแรกจะต้องกินสลัดผักในช่วงเริ่มต้นไปก่อน เนื่องจากร่างกายของเราขาดแคลนสารอาหารเหลือเกิน จากนั้น 3-4 เดือนก็สามารถดื่มเฉพาะน้ำผักผลไม้ได้ แต่ใช่ว่าการรับประทานผักผลไม้เท่านั้นจะตอบทุกปัญหา เพราะหลักการสำคัญของการกินเพื่อป้องกันและรักษาโรคนั้นยังต้องกินตามกรุ๊ปเลือดด้วย

หากคุณมีเลือดกรุ๊ปโอและกรุ๊ปบี การบริโภคเนื้อสัตว์บ้างเล็กน้อยเป็นสิ่งจำเป็น ในขณะที่คนกรุ๊ปเอ หากรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในสมองผิดปกติได้ และสำหรับคนที่กลัวว่าจะรับสารอาหารไม่เพียงพอแล้วจะเลือกวิตามินสกัด ผมว่าเราควรเลือกจากการสกัดจากผักผลไม้จริงๆ ไม่ควรทานวิตามินสังเคราะห์ เพราะในระยะยาวอาจเกิดการสะสมของโรค โดยเฉพาะวิตามินเออาจสะสมในตับได้

แต่ที่เราไม่ควรละเลยก็คือการออกกำลังกาย ซึ่งที่พอเหมาะอยู่ที่ 15-20 นาที พร้อมนวดกดจุด ต้องขับถ่ายให้ได้ 3-4 ครั้งทุกวัน และต้องออกไปรับแสงแดดสม่ำเสมอ แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือต้องมีความเชื่อมั่นในแนวทางนี้ ต้องเปิดใจรับ เพราะโดยสัญชาตญาณของร่างกายจะมีการต่อต้านกับการรักษาตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่หนทางรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดต้องอาศัย 3 อย่าง ได้แก่ ร่างกาย จิตใจ รวมถึงจิตวิญญาณ ดังนั้นมันจึงขาดเรื่องศรัทธาและเชื่อมั่นไม่ได้ เพื่อให้เราไม่หวาดกลัว เพราะเมื่อไรที่เราหวาดกลัว ร่างกายจะต่อต้านการขับพิษ ในขณะเดียวกันหากร่างกายเราต่อต้าน มันจะมีกรดออกมามาก นั่นก็เป็นเหตุให้เซลล์มะเร็งเติบโตได้ดี กลายเป็นเราคิดไปเองและสรุปว่าวิธีการนี้รักษาไม่หาย

กายใจ : แล้วคุณค่าของการมีชีวิตโดยไม่มีโรคคืออะไร

ดร. อู๋ : ไม่มีใครไม่เคยเป็นโรค แต่ผมอยากให้คิดว่าการที่เราเป็นโรค เป็นโชคช่วยให้เราได้มาเจอหนทางรักษาที่เราไม่คุ้นเคย ทำให้เรารู้ว่าเรายังมีทางเลือกในการรักษาชีวิตอีกมาก ทำให้เราย้อนกลับมามองดูตัวเองอย่างจริงจัง หลังจากที่ละเลยมานาน นี่คือโอกาสให้เราเปลี่ยนวิธีการกินและการดูแลตัวเองเสียใหม่

ในบรรดากรณีศึกษาของผู้ที่เข้ารับการรักษาและรับคำแนะนำ ผมยอมรับว่าไม่สามารถรักษาได้ทุกคน หรือร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เข้ามาหาผมจะต้องหายโดยสิ้นเชิง แต่เราก็ต้องยอมรับว่าต่อให้เขารับการรักษาแผนปัจจุบันเขาก็ไม่หายเช่นกัน ดังนั้นวิธีการธรรมชาติบำบัด การรับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้นนี้ จะช่วยให้เขาดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นอย่างแน่นอน หรือถ้าหมดหนทางจริงๆ เขาก็จะลาโลกไปอย่างสงบและเจ็บปวดทรมานน้อยที่สุด

ผมอยากให้ทุกคนอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป โดยนึกถึงภาระหน้าที่ของตัวเองและทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด อย่างผม พระเจ้าส่งให้มาเป็นหมอ เพื่อช่วยคนป่วย คนเจ็บคนไข้ ส่วนคนที่เป็นวิศวกรก็มีงานสร้างความสะดวกสบายให้พวกเรา หรือแม้แต่คนขอทาน เขายังช่วยให้เราเกิดความเชื่อมั่นในชีวิตขึ้นมาได้เลย ทุกคนมีคุณค่าเท่ากันไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีหรือยาจก

เพราะฉะนั้นเมื่อทุกคนต่างก็เกิดมาพร้อมหน้าที่ หน้าที่นั้นเอื้อให้พวกเราต้องพึ่งพาและช่วยเหลือกัน มันเหมือนนาฬิกาที่จะขาดชิ้นส่วนเล็กๆไม่ได้ เพราะทุกๆส่วนมีความสัมพันธ์กัน เช่นเดียวกับคนในสังคม ทุกคนเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกัน เราจึงต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างน้อยๆเพียงแค่การให้กำลังใจกัน สร้างความสุขให้แก่กัน เท่านั้นก็มีคุณค่ามากแล้ว