ความจริง ยิ่งใหญ่ในโลกธรรม

ความจริง ยิ่งใหญ่ในโลกธรรม

ข้อคิดเตือนสติจาก 'รักษ์ ศรีเกตุ' แฟนพันธุ์แท้พระพุทธรูป ว่า การหลงใหลพุทธคุณมากเกินไป อาจทำให้หลงลืมคำสอนของพระศาสดา

บางคนบูชาพระเครื่องพระบูชาด้วยหวังว่าพุทธคุณจะคุ้มครองป้องกันจนหลงลืมไปว่าอันที่จริงนี่คือสิ่งแทนพระพุทธองค์ ... รักษ์ ศรีเกตุ เจ้าของรางวัลแฟนพันธุ์แท้พระพุทธรูป ฝากข้อคิดเตือนสติว่า การหลงใหลพุทธคุณมากเกินไป อาจทำให้หลงลืมพุทธศิลป์และคำสอนของพระศาสดา

เมื่อปี 2549 ชื่อของ รักษ์ ศรีเกตุ ได้เป็นที่รู้จักผ่านสายตาสาธารณชน ในฐานะเจ้าของรางวัลแฟนพันธุ์แท้พระพุทธรูปในรายการดัง ด้วยลีลาการแข่งขันที่เป็นเอกลักษณ์ และองค์ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธรูปอัดแน่นเต็มเปี่ยมชนิดที่ว่าไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้ ทำให้ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งฉายแสงเจิดจรัสสะดุดตาแฟนรายการไม่น้อย

แต่ด้วยวิธีการพูดการจาแบบขวานผ่าซาก และตรงไปตรงมาก็ทำให้มีหลายคนเกิดอคติในใจว่าเขาเป็นคนขี้โอ่ ชอบคุยโตอ้างสรรพคุณ แน่นอนว่าคนไม่ชอบเขาจำนวนหนึ่งคือคนในวงการพระเครื่องพระบูชาซึ่ง รักษ์ ศรีเกตุ ถือเป็นตัวเอ้ในวงการนี้

ทั้งที่ความตั้งใจของรักษ์ ศรีเกตุ คือต้องการให้คนในวงการพระเครื่องพระบูชาพูดคุยกันตรงไปตรงมาเหมือนที่เขาเป็น เพราะเชื่อว่าจะทำให้วงการนี้มีแต่จะแน่นแฟ้นขึ้น และสิ่งที่จะตามมาคือเมื่อพูดแต่ความจริงก็ย่อมมีแต่พระจริงหมุนเวียนในตลาด

ด้วยความสามารถด้านการพูดที่ฉะฉานตรงไปตรงมานี้เอง ทำให้เขามีรายการเกี่ยวกับสิ่งที่เขารักและถนัดนั่นคือพระเครื่องพระบูชา ชื่อรายการ คนรักษ์พระ ผ่านเคเบิ้ลทีวี มีแฟนรายการมากมาย และกลายเป็นช่องทางศึกษา 'พระแท้' ที่หลายคนบอกว่าเชื่อถือได้

สำหรับในวงการพระเครื่องพระบูชาแม้ชื่อของเขาจะติดลมบนพอสมควรแล้ว และการที่ได้รางวัลแฟนพันธุ์แท้เมื่อเจ็ดปีก่อนจะถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นในสายตาของใครต่อมิใคร แต่เมื่อถามเจ้าตัวกลับบอกว่ามันเป็นแค่เครื่องหมายรับรองคุณภาพสติปัญญาของเขาก็เท่านั้น ถ้าในแง่ธุรกิจพระเครื่องพระบูชาก็เปรียบเสมือนฉากหลังที่สวยงามเรียกลูกค้าก็เท่านั้น...

กายใจ : ชีวิตหลังจากได้รางวัลแฟนพันธุ์แท้เป็นอย่างไร

สำหรับผมเองราบเรียบอยู่แล้ว แต่ที่ได้มาก็ถือเป็นดีกรี เป็นสิ่งอัพเกรดเราอยู่แล้ว แต่ถามว่าที่เราไปแข่งตรงนั้นแค่ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าความสามารถเราถึงขีดไหน เพราะรายการนั้นเป็นความท้าทาย จริงๆ ทุกคนที่มาแข่งขัน เก่งทุกคนนะ เก่งมากๆ ด้วย แต่บางทีประมาทก็เท่านั้นเอง

อย่างที่เราดูในทีวีคิดว่าทำไมบางเรื่องบางอย่างเขาถึงรู้ลึกขนาดนั้น เราก็เป็นคนหนึ่งซึ่งชำนาญเรื่องพระ เพราะผมตั้งแต่เรียนหนังสือก็เล่นพระแล้ว ผมไม่ได้เรียนต่อก็อยู่ในวงการพระมาตลอด 30 กว่าปี ไม่เคยทำอาชีพอื่นเลย เพราะฉะนั้นพระจึงเป็นเรื่องที่เรารู้ เราเห็น มองทุกมุมน่ะ เช้ากลางวันเย็นมืด คนเล่นพระจะเป็นอย่างนั้นหมด ตื่นขึ้นมาก็หยิบพระมาส่อง เป็นความเคยชิน...ลุ่มหลงเลย

ผมนอนน้อย บางคืนตีหนึ่งตีสองผมดูพระ กลับบ้านไป พระที่เช่ามาผมก็ต้องนั่งดู ดูว่าแท้เป็นอย่างไร ผมดูผิวพรรณแล้วบอกได้เลยว่าใช้งานมาอย่างไรและขนาดไหน องค์นี้อยู่หิ้ง องค์นี้ตกน้ำ องค์นี้ไฟไหม้ องค์นี้ใช้มาเล็กน้อยหรือโชกโชน

พอไปแข่งในรายการดันเอาสิ่งที่ผมรู้ก็เสร็จผมสิ ผมกล้าท้านะว่าแข่งอีกสิบทีก็ชนะ เพราะผมแม่นมาก สมมติคุณอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ส่วนผมอ่านสิบเล่มแล้วเล่มที่คุณอ่านผมอ่านสิบครั้ง ผมบอกได้เลยว่าบรรทัดนี้อยู่ที่หน้าไหน พระพุทธรูปกับพระเครื่องนี่ คุณหันมุมไหนมาผมก็รู้ เวลาไปไหว้พระผมเดินรอบองค์ ทุกวัดมีประวัติเราก็ขอมาสักใบ เขาแจกอยู่แล้ว ก็อ่านสิ แล้วเก็บบันทึกไว้ พอวันที่แข่งแฟนพันธุ์แท้คุณดึงเอาความทรงจำนั้นของผมออกมา...ก็เสร็จสิ บางองค์ผมเพิ่งไปดูเมื่อวาน

กายใจ : ตลาดพระเครื่องปัจจุบันเป็นอย่างไร

คนเล่นพระเครื่องมีมากกว่าองค์พระ คนเล่นพระเกิดขึ้นทุกวัน คุณฟังอาจจะชอบก็ไปศึกษาเดี๋ยวก็เป็น ผมเล่นพระต้องไปตามวัด ตามร้านกาแฟ แต่เดี๋ยวนี้เซเว่นฯแทบจะเปิดศูนย์พระแล้ว มีห้างไหนไม่มีศูนย์พระ บางห้างถ้าไม่มีศูนย์พระถึงขั้นเจ๊งนะครับ เช่าทั้งชั้น 12 ล้าน เปิดห้างทั้งปียังไม่ได้เลย

กายใจ : ย้อนไปตอนอายุ 17 ทำไมถึงตัดสินใจออกจากบ้าน

ผมเล่นพระมาตั้งแต่สมัยเรียน ผมเรียนประถมที่โรงเรียนวัด พระครูเจ้าอาวาสท่านให้พระไว้ หลังจากนั้นเหรียญนั้นราคาแพงขึ้นก็ปล่อยเช่าสิ เงินหาง่ายนี่ ทีนี้ก็ไปบ้านเพื่อนขอพระเพื่อนอะไรต่ออะไร ได้มาก็ปล่อยตามร้านพระ ไม่รู้ว่าพระราคาเท่าไร แต่เช่ามาสิบบาทจะขายห้าสิบขายร้อย โดนเขากินไปก็เยอะ เงินก็ทดไปเรื่อยๆ ผมอายุไม่ถึงยี่สิบเลยมีเงินเป็นล้านแล้ว เพราะเงินพวกนี้มันมาตลอด พอเข้าวงการที่กรุงเทพฯก็เริ่มรู้แล้วว่าพระอะไรเป็นอะไรเริ่มแยกได้ ก็เทียวไปเทียวมาจนเรียนจบมัธยม เห็นว่าทำแล้วได้เงินดีกว่าคนเรียนจบสูงๆ อีก คิดตามประสาเด็กไง

กายใจ : เลยทำให้คุณตัดสินใจไม่ศึกษาต่อใช่ไหม

ผมเรียนน้อย ผมเรียน 'โรงเรียนเสี่ย' โรงเรียนเสี่ยคืออะไร คนเราต้องทำงาน สู้ชีวิตเพื่อหาเงิน คนจบโรงเรียนเสี่ยคือจากจนไปรวยเป็นเศรษฐี ต่อปริญญาต้องต่อปริญญาชีวิต ชีวิต กินจนแก่ เที่ยวจนแก่ ไม่ซ้ำ โดนหลอกจนแก่ก็ไม่ซ้ำ ปริญญาชีวิตต้องเรียนให้จบเพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน ตอนเด็กๆ แม่บอกว่าไฟร้อนอย่าไปจับ พอแม่เผลอก็จับเสียเลย รู้แล้วว่าร้อนจะไม่จับอีกเลย มันพองแต่ถ้าถามว่าร้อนคืออะไร ไม่รู้ ความรักก็เหมือนกัน อย่าไปลอง คุณไม่รู้นี่ว่าเดี๋ยวจะผิดหวัง เดี๋ยวจะอกหัก เดี๋ยวจะสูญเสีย พอลองก็โดนเขาหลอก จนกระทั่งทุกอย่างผมจบปริญญาชีวิต "ฝนไม่ตกบ้านใคร ไม่รู้ว่าหลังคาใครรั่ว" คำพูดนี้คือความจริง

พ่อแม่พี่น้องหรือโรงเรียนก็สอนเหมือนกันหมด ต้องเป็นคนดี อย่าทำชั่ว ให้ทำบุญ อย่าทำบาป แต่ถามว่าทำไมเติบโตมาแล้วทุกอย่างจึงเปลี่ยนแปลง ก็เพราะว่าหลักการประคองชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางครอบครัวพ่อแม่มีเงินทองกองไว้ให้ แต่ทำไมลูกล้างผลาญหมด ผมเกิดมาจากข้างถนน เก็บของกินตามตลาด ทำไมวันนี้มีเป็นร้อยล้านได้ ประสบการณ์ชีวิตสอนเรา

กายใจ : ความสำเร็จในวันนี้เพราะประสบการณ์หรือเปล่า

ผมอายุไม่เยอะ แต่ประสบการณ์ผมสูงมาก ผมออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 16-17 แล้วผมเรียนรู้ด้วยตัวเองหมด แบ่งเป็นสองซีกเลย ซีกหนึ่งก็ประณามหยามเหยียดว่าผมเอาดีไม่ได้หรอก เรียนก็ไม่เรียนต่อ อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเซียนพระเป็นนักเลงพระจะแค่ไหนวะ ณ วันนี้ตีลังกากลับมา ด็อกเตอร์จบปริญญาต้องไหว้เรา อาชีพรับเช่าพระเป็นอาชีพเดียวที่คนซื้อไหว้คนขาย พูดไม่ถูกหูก็ไม่ขาย เป็นบริษัทอื่นทำได้หรือ โดนด่ายังนั่งฟังเพราะเป็นลูกค้า

แต่ของเราไม่ใช่นะ เพราะเป็นสินค้าที่หาไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ผมไม่ได้คิดนะ แต่เป็นผลพลอยได้ที่ตามมา สุดท้ายเลยคือว่าผมได้เป็นเจ้านายตัวเอง เมื่อคืนนอนดึก วันนี้ก็ตื่นสาย ถ้าเป็นข้าราชการโดนไล่ออกไปแล้ว ไม่ใช่ว่าผมไม่รับผิดชอบหน้าที่นะ แต่งานของผมไม่มีกำหนดการ สมมติผมนัดคุณเที่ยงแต่สิบเอ็ดโมงมีคนโทรมาว่าเอาสมเด็จวัดระฆังมากำลังจะลงหมอชิต คุณต้องรอผมนะเพราะต้องรีบไป ผมอาจจะมีสิทธิ์เช่าซื้อราคาห้าแสนแต่ขายได้สิบล้าน ผมก็ต้องเลือกตรงนั้น ผมบอกทุกคนไม่ว่าจะผู้ใหญ่ระดับไหน ท่านครับอย่าโกรธผมนะ อาชีพผมเป็นอย่างนั้น

วงการนี้เศรษฐีกับยาจกยืนอยู่คู่ๆ กันเลย ถ้าแท้ก็เศรษฐี แต่ถ้าเก๊ก็ร่วงเลย เรายืนบนความเสี่ยงกับความเป็นเศรษฐี

บางคนหาว่าพอดังแล้วเรื่องมาก ไม่ใช่นะ เราคือเรา กินข้าวแกงข้างถนนได้ ผมเคยพูดกับทุกคนนะว่าถ้าเหาะได้จะไปดูพระที่บ้านทุกคนที่อยากให้ดู แต่ไม่ได้ ผมไม่เคยบอกว่าผมดีผมเก่ง พวกคุณสร้างให้ผมทั้งนั้น เหมือนดาราไม่ได้บอกหรอกว่าตัวเขาดัง คุณไปสร้างให้ทั้งนั้นแหละ เรตติ้งขึ้นจากพวกคุณไม่ใช่พวกเขา เขาคือผู้แสดง

กายใจ : สิ่งที่ได้จากจบปริญญาชีวิตคืออะไร

ผมคุยกับพระบางทีก็ซึ้งดี ชีวิตคนเรามันสั้น ถัวเฉลี่ย 60-70 ปีโดยประมาณ 40 กว่า 50 ก็ไปง่ายเพราะโรคภัยไข้เจ็บมันเยอะ วัยเด็กถึงวัยรุ่นก็ยังเพลิดเพลินเพราะอยู่กับพ่อแม่ พอวัยรุ่นสู่วัยหนุ่มเริ่มห่าง วัยทำงานของเราจริงๆ คือ 28-30 นี่ถ้าไม่เริ่มต้นก็รอจะล้มละลาย เพราะเริ่มต้นมาปั๊บ 30-40 คุณต้องสร้างฐานะให้มั่นคง พอ 50 จะไป 60 คุณกำลังถอยแล้ว วัยกำลังก้าวเดินห่างจากงานสู่วัยพักผ่อน

เพราะฉะนั้นถ้าคุณเริ่มช้าจะสู้เขายาก คนพูดคนบอก อ่านหนังสือ เป็นแค่ทฤษฎี คนไม่เคยล้มก็ไม่รู้ว่าจะลุกอย่างไร คนที่ล้มไปแล้ว ก็ต้องตั้งสติให้ดีว่าลุกขึ้นมา อย่าหวังเหมือนเดิม หวังเพียงเอาตัวรอดก็ดีที่สุดแล้ว แต่ถ้ามันเลยเถิดก็ปล่อย อย่าไปโทษบุญกรรม อย่าไปโทษวาสนา ลิขิตฟ้าไม่เท่ามานะตน ผมบอกลูกเมียทุกคนว่าถ้านั่งรอวาสนารอโอกาสเราก็หมดโอกาสแล้ว พระพรหมยังไม่ทันหยิบปากกาเขียนเราต้องบอกว่าผมจะไปทางนี้

กายใจ : มีรายการเกี่ยวกับพระเครื่องด้วยใช่ไหม

ผมทำรายการพระ เพราะผมต้องการให้คนที่ไม่รู้ได้รู้ ถ้าคุณรู้ว่าพระคือสมบัติที่ตกทอดมาและมีราคา นั่นคือพ่อแม่คุณทิ้งสมบัติไว้ให้ แต่ทำไมคุณถึงไปให้เขาหลอก สมมติพระคุณหนึ่งล้าน เขาซื้อคุณหนึ่งแสน สมบัติที่พ่อคุณทิ้งไว้ให้กลายเป็นของเขานะ ตรงนี้ผมเสียเงินเป็นแสนนะ แต่ต้องให้คุณเป็น เพราะอะไร

พระที่คุณส่งมานั้นแท้ ผมก็เช่าซื้อ คำว่าพวกคุณพวกผมจะหมดไปกลายเป็นวงการเดียวกัน เมื่อพ่อทิ้งสมบัติไว้ให้นั่นคือแท้ ถามว่าถ้าคุณเป็นพ่อจะสร้างความอับอายให้ลูกไหม คุณจะทำลายโอกาสของลูกไหม ลูกคุณอาจจะติดคุก ถ้าวันนี้ขายพระองค์นี้ไม่ได้ แต่ถ้าคุณได้เล่นตามวงการ หยิบออกมาใครก็เช่าซื้อ ทุกวันนี้ที่ผมเล่น ถ้าพระองค์ไหนขายได้องค์นั้นแท้ เก๊จะซื้อทำไม

พระเครื่องนี่เหมือนคุณขนเพชรขนทองเข้าบ้านนะ วันนี้สามแสน ลูกคุณเป็นสาวอาจจะสามล้าน หลานคุณเป็นสาวอาจจะสามสิบล้าน ทำไมถึงไม่เก็บอย่างนี้ไว้ให้เขา เหมือนเราเก็บที่ไว้ให้เขา แต่ผมไม่มีเงินไปซื้อที่ให้เขา ผมเก็บอย่างนี้ให้ลูก โดยให้ลูกรู้ว่าพระราคานี้ ไม่ใช่เก็บไว้เป็นกะละมังไว้ให้ แล้วลูกต้องมารื้อว่านี่แท้นี่เก๊ถ้าเขามองเป็น แต่ถ้าเขาไม่เป็นล่ะ แท้ก็โดนเขากิน เก๊พ่อก็ต้มลูก

กายใจ : คุณคิดอย่างไรกับเรื่องพุทธศิลป์และพุทธคุณ

ผมมองพระเครื่องพระบูชาหรือรูปเคารพต่างๆ ผมมองว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ เป็นตัวแทนพระพุทธองค์ให้เรารู้สำนึกว่าพระเป็นผู้สอนให้เราทำดี ชี้ทางให้เราสู่ความสุข ไม่ใช่ให้มายึดเหนี่ยวว่ากูไม่ตาย ถามว่าทำไมถึงดื้อรั้น ก็เพราะเคยเจอตายคาคอมาเยอะแล้ว ที่ว่าเหนียวๆ โกนหนวดยังเลือดอาบเลย ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่บางครั้งอภินิหารก็เดินคู่กับบังเอิญ ถามว่าเวลารถชนแล้วไม่ตาย คุณเคยดูบาดแผลไหมว่าเป็นอย่างไร กลิ้งไปหลายตลบก็จริงแต่แค่หัวแตก แต่ถ้าโดนหัวใจแล้วไม่ตายนี่แหละอภินิหาร หรือตายแล้วฟื้นนั่นแหละอภินิหาร

กายใจ : แล้วเสน่ห์ที่แท้ของพระเครื่องพระบูชาคืออะไร

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธอยู่แล้ว เกือบทุกบ้านต้องมีหิ้งพระ มีห้องพระเป็นที่สักการะบูชากราบไหว้ เป็นที่พึ่งทางใจ ทำบุญตักบาตรเสร็จก็มาไหว้พระขอพร เสน่ห์ของท่านถ้าคนที่เข้ามาถึงศาสตร์และศิลป์จะเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ ว่าพระแต่ละองค์มีความเป็นมาอย่างไร พระใหญ่ๆ ในอดีตกษัตริย์สร้าง ถ้าคนจนไม่มีปัญญาทำหรอก เนื้อทองคำ เนื้อนู่นเนื้อนี่ บ่งบอกถึงอำนาจบารมีและทำนุบำรุงศาสนา เพราะศาสนาเป็นศูนย์รวมใจของชาติอยู่แล้ว

สำหรับเราที่เป็นสามัญชน พระพุทธรูปเป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าควรมีประดับบ้านไว้ ส่วนพระเครื่อง คือที่พึ่งทางใจใช้ติดตัว ถ้าเรามีใจใฝ่ธรรมเข้าหาพระหาเจ้าจะรู้ว่าพระสงฆ์ปฏิบัติดีอย่างไร เมื่อท่านสร้างวัตถุมงคลออกมาเราก็จะเก็บวัตถุมงคลนี้เป็นรูปเคารพยามเมื่อท่านจากไป คนที่ใฝ่ใจธรรมหรือใกล้พระมักจะเป็นคนดี

เพราะองค์พระ ไม่ว่ากรณีใดๆ ทำมาเพื่อสิ่งดีทั้งสิ้น ไม่ใช่ทำมาเพื่อให้โจรหรือมิจฉาชีพป้องกันอันตราย แต่ทำให้สุจริตชนเคารพกราบไหว้ให้คิดดีทำดี นี่คือเสน่ห์