อย่านอนกับเครื่องใช้ไฟฟ้า

อย่านอนกับเครื่องใช้ไฟฟ้า

หนูดี-วนิษา หยิบยกงานวิจัยมาเตือน ผู้ที่วางทีวีไว้ในห้องนอน วางโทรศัพท์มือถือไว้บนหัวเตียง ล้วนส่งผลเสียต่อเซลล์สมอง

เป็นประเด็นที่หนูดีระมัดระวังเสมอมา เรื่องของการ “นอนกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้า” เพราะมันเป็นตรรกะที่คิดเองได้ง่ายๆ ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโทวิชาแรก ที่อาจารย์สอนเรื่อง การทำงานของสมอง

ที่บอกว่า สมองของเราส่งข้อมูลในระดับเซลล์เป็นสารสื่อประสาทที่เรียกว่า Neurotransmitter และภายในสมองของเรามีประจุไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อนการทำงานของเซลล์ต่างๆ ซึ่งถ้าหากเรากักเก็บกระแสไฟฟ้าไว้ได้เหมือนปลาไหลไฟฟ้า สมองเราก็จะมีกระแสไฟฟ้าถึง 12 วัตต์เลยทีเดียว

เปรียบไป พลังงานไฟฟ้าในสมองเรา 12 วัตต์นี้ ก็จุดหลอดไฟดวงเล็กๆ ในตู้เย็นติดนั่นละค่ะ นี่คือ ในกรณีเราเก็บไฟฟ้าไว้ช็อตใครๆ ได้เหมือนปลาไหลไฟฟ้านะคะ น่าเสียดายที่มนุษย์ทำไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่า สมองของเรา เป็นอวัยวะชีวภาพที่บอบบางกับกระแสไฟมาก ก็แค่กับโทรศัพท์เครื่องเล็กๆ สมองของเราก็รวนแล้ว นับประสาอะไรกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่กว่านั้น เช่น โทรทัศน์​หรือ เครื่องไมโครเวฟ

แม้ในปัจจุบัน จะยังไม่มีงานวิจัยระยะยาว (Longitudinal Studies) ที่ติดตามผลเกิน 10 ปี ในกลุ่มคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือว่า จะทำให้เกิดมะเร็งสมองได้จริงหรือไม่ เพราะเรื่องราวยังใหม่เกินไป แต่มีงานวิจัยเรื่อยๆ เกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและความร้อน ที่ออกมาจากการใช้มือถือในระยะประชิดตัว

ใครสนใจอยากติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ลองหาอ่านในเว็บที่น่าเชื่อถือ เช่น www.cancer.gov ซึ่งเป็นของ National Cancer Institute ณ​National Institutes of Health ซึ่งจะคอยอัพเดตเรื่องราวใหม่ๆ เกี่ยวกับมะเร็งประเภทต่างๆ โดยเฉพาะงานวิจัยที่น่าสนใจนะคะ หนูดีเองก็คอยลุ้นว่า ปีนี้จะมีงานวิจัยใหม่ๆ อะไรออกมา เราจะได้เตือนกันถูกและระวังตัวให้ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม การใช้โทรศัพท์มือถือแม้จะยังไม่ฟันธงว่า ก่อให้เกิดมะเร็งในสมองได้ แต่นักวิจัยก็ยังเตือนว่า มีความเสี่ยง และยิ่งสำหรับเด็กแล้ว ถือว่ามีความเสี่ยงสูง หากเป็นได้ ขอให้เลี่ยงการที่เด็กเล็ก ในวัยที่สมองกำลังฟอร์มตัวและพัฒนาในระบบประสาทส่วนกลาง มิให้เล่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของพ่อแม่ รวมถึงงดของเล่นประเภทแทบเลตโดยสิ้นเชิง ด้วยกังวลว่า อันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและความร้อนที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์จะทำลายเนื้อเยื่ออ่อนๆ ของเด็กในระยะประชิดได้

ที่สำคัญ ถึงแม้ในวัยผู้ใหญ่แล้ว นักวิจัยก็ยังคงเตือนมิให้เราใช้โทรศัพท์มือถือพร่ำเพรื่อ โดยเน้นว่า หากอยู่ในบ้านหรือในออฟฟิศ ขอให้ใช้โทรศัพท์สายบ้านเท่านั้น และหากต้องโทรมือถือ ก็ต้องใช้หูฟังที่แยกออกมา อย่าเอาโทรศัพท์ไปแปะไว้ที่ข้างแก้มเพราะเนื้อเยื่อตรงนั้นอ่อนๆ โดนความร้อนและคลื่นอาจไม่ปลอดภัย

ส่วนในห้องนอน หนูดีไม่มีการชาร์จโทรศัพท์มือถือ เพราะเกรงสัญญานที่ออกมาในขณะที่เราหลับจะทำร้ายสมอง เพราะแม้ปิดเครื่องแล้วแต่ใครจะรู้ว่า สัญญาณคลื่นแม่เหล็กที่เล็ดลอดออกมาจะส่งผลเสียกับสมองแค่ไหน เพราะเสี่ยงแม้เพียงนิดเดียวหนูดีก็ไม่อยากเอาสมองอันมีค่าไปทดลอง ที่สำคัญ อย่าคิดว่า ไม่มีงานวิจัยออกมาบอกว่า “มันอันตรายนะ” แล้วมันคือปลอดภัย เพราะงานวิจัยชิ้นหนึ่งกว่าจะตีพิมพ์ได้ใช้เวลาหลายปี ระหว่างที่เก็บข้อมูลเราก็เอาตัวไปเสี่ยงแล้ว ดังนั้น นอกจากศึกษางานวิจัยแล้ว หนูดีเน้น “คอมมอนเซนส์”​หรือ ตรรกเบื้องต้นเลยค่ะ อะไรที่มันดูไม่น่าไว้วางใจก็จะหนีห่างเอาไว้ก่อนเลย ไม่อยากวัวหายล้อมคอก

ล่าสุด มีงานวิจัยออกมาแล้วว่า เด็กที่มีโทรทัศน์ในห้องนอนนั้น เมื่อนำมาชั่งน้ำหนักตัวเทียบกับกลุ่มเด็กที่ไม่มีโทรทัศน์ในห้องนอนพบว่า เด็กที่มีโทรทัศน์จะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยสูงกว่าประมาณหนึ่งปอนด์ พูดง่ายๆ ว่า เด็กที่พ่อแม่ใจดี ใส่โทรทัศน์เข้าไปในห้องนอนให้ลูกนั้น ส่งผลให้ลูกอ้วนกว่าเด็กที่พ่อแม่เข้มงวดกว่า และไม่ยอมให้ดูโทรทัศน์ในห้องนอน

นักวิจัยคาดว่า อาจเป็นไปได้ว่า เป็นเพราะเด็กดูโฆษณาขนมอาหารมากกว่า หรือเป็นได้ว่า คลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรทัศน์จะไปรบกวนการหลับและการหลั่งฮอร์โมน การซ่อมแซมร่างกายของเด็ก โดยในงานวิจัยถึงแม้เด็กจะไม่เปิดโทรทัศน์ดูเลย แต่ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกันเลย...น่ากลัวจริงๆ ค่ะ

สำหรับโลกของแพทย์ทางเลือกก็กลัวเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่แตกต่างกัน โดยในหนังสือของคุณหมอฝังเข็มของหนูดี คุณหมอไพร ในเล่ม “รู้ก่อนป่วย ด้วยแพทย์แผนจีน” ได้เล่าว่า มีคนไข้คนหนึ่งที่ปวดหัวมาหาคุณหมอ จึงได้ฝังเข็มและให้ยาจีนรับประทาน โดยรักษาแล้วก็หาย แต่แล้วก็กลับมาเป็นอีกอย่างน่าประหลาดใจ อาการกลับมาเรื่อยๆ โดยไม่มีเหตุผล

แต่ในที่สุดวันหนึ่ง คนในครอบครัวสังเกตว่า ที่หัวนอนของคนไข้มีการติดเครื่องกรองน้ำแบบเสียบไฟฟ้าอยู่นอกห้อง แต่ติดกับตรงหัวเตียงคนไข้พอดี อีกทั้ง แพทย์แผนญี่ปุ่นก็มีความเชื่อว่า กระแสไฟฟ้าเหล่านี้จะไปรวนกระแสไฟฟ้าในร่างกาย ทำให้ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดศีรษะ ปวดต้นคอ ปวดไหล่ ฯลฯ ที่หาสาเหตุไม่พบ จนทำให้หมอวินิจฉัยและรักษาผิดทางมานักต่อนัก

ในที่สุด ในกรณีนี้ คนไข้ตัดสินใจหันหัวเท้าสลับกัน คือ ยังนอนบนเตียงเดิมอยู่ แต่หันปลายเท้าไปทางเครื่องกรองน้ำ ผลที่ได้คือ อาการปวดหัวค่อยๆ หายไปจนหายสนิทในที่สุด

ลองตรวจดูในห้องนอนของเรานะคะว่า มีโทรทัศน์หรือไม่ เราชาร์จแบตมือถือไว้หัวนอนไหม เรามีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรที่อยู่ใกล้ๆ หัวเราขณะหลับบ้าง รีบย้ายออกไปเสียนะคะ สมองของเรามีค่าสูงมาก อย่าเอาไปเสี่ยงด้วยการวางสมองไว้ใกล้ๆ แหล่งกำเนิดไฟฟ้าทั้งคืนเลยค่ะ

( * ตีพิมพ์ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ เซกชั่นกรุงเทพธุรกิจกายใจ ชื่อคอลัมน์ฉลาดสุขกับหนูดี ฉบับวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2557)