'น้าเน็ก' ชีวิตที่จัดจ้าน

'น้าเน็ก' ชีวิตที่จัดจ้าน

พิธีกรฝีปากกล้า ชัดเจนด้วยคาร์แรกเตอร์แห่งความจัดจ้าน ย้อมผมเป็นสีทอง สวมแว่นกันแดดตลอดเวลา คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก 'น้าเน็ก'

พิธีกรฝีปากกล้า ชัดเจนด้วยคาร์แรกเตอร์แห่งความจัดจ้าน ย้อมผมเป็นสีทอง สวมแว่นกันแดดตลอดเวลา คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ‘เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา' คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมากว่า 20 ปี ทำงานทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง

บริษัท เน็ก แอนด์ เดอะซิตี้ เป็นบริษัทที่เปิดขึ้นในปี 2556 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ซึ่ง ‘น้าเน็ก’ เลือกใช้จุดแข็งและประสบการณ์จากการทำงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ตอบโจทย์ความต้องการของคนดู โดยใช้เวลา 1 ปีสำหรับทดลองผลิตรายการป้อนให้เคเบิลทีวี เพื่อปูทางสู่ดิจิทัลทีวีที่จะเริ่มในปี 2557

แน่นอนว่า เมื่อเกมส์ดิจิทัลทีวีเริ่ม เน็ก แอนด์ เดอะซิตี้ก็ได้ถูกทาบทามให้ผลิตรายการให้กับหลายช่องสำหรับเฟสแรกมี 8 รายการ พร้อมออกอากาศในเดือน มิ.ย.นี้ ได้แก่ NAKE AND THE CITY ทางช่อง ไทยรัฐทีวี, เป่า ยิ้ง ฉุบ เงินล้าน ช่องไทยรัฐทีวี, NAKED TALK ช่อง PPTV, พิธีรีตอง ช่อง PPTV, THE NAKED SHOW ช่อง 9, 8x10 ช่องไทยรัฐทีวี, TURNING POINT ช่องไทยรัฐทีวี และ สนุกคิด IS ALL AROUND ช่อง 9

และยังมีอีกหลายรายการที่บริษัทกำลังดำเนินการ ซึ่งคาดว่าในปี 2557 นี้จะมีรายการที่ผลิตทั้งหมดกว่า 20-22 ช่อง คิดเป็นรายได้ไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท

ชีวิตและการทำงานในแบบ ‘น้าเน็ก’ คืออะไร

ชีวิตผมทำมามากมาย ตั้งแต่การเข้ามาในสายงานนี้ด้วยการเป็นนักข่าวบันเทิง แต่เริ่มเข้ามาทำงานเบื้องหลังจริง ๆ คือ ปี 2535 เป็นเวลา 10 ปี แล้วขยับมาทำงานเบื้องหน้าในปี 2545 ทำมาอีก 10 ปี พอปี 2555 ก็หยุดพักไป 1 ปี ก่อนจะมาทำงานเบื้องหน้าเบื้องหลังพร้อม ๆ กันตั้งแต่ปี 2556

1 ปี 2555 ไม่เรียกว่าการพัก แต่เป็นการตั้งหลัก เหมือนช่วงเวลามาประจวบเหมากันจนต้องหยุดคิดซักนิดว่า จะเอายังไงต่อ ผมเป็นผมที่ต้องพิจารณาตัวเองอยู่เสมอ และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เมื่อถึงจุดหนึ่งซึ่ง 10 ปีกับเบื้องหลัง 10 ปีกับเบื้องหน้ามาบรรจบ ต้องตั้งหลักซัก 1 ปี หยุดทำทั้ง 2 อย่าง แต่ก็ไม่ได้ว่างทั้งปี เพราะออกมาทำออร์กาไนเซอร์ เอเยนซี่ ไปเปิดโลกอย่างอื่นที่เป็นงานที่ไม่ได้ยุ่ง มีเวลาให้คิด ตระเตรียมว่า จะเริ่มปีที่ 21 ของการทำงาน โดยทำทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังไปพร้อม ๆ กัน มันก็กลายมาเป็น ‘เน็กแอนด์เดอะซิตี้’

ความฝันคือธุรกิจรับจ้างผลิต

เน็กแอนด์เดอะซิตี้เป็นสิ่งที่วาดไว้ในหัวตั้งแต่ปี 2555 เป็นสิ่งที่อยากให้เกิด งานที่อยากจะทำ เงินทุน ก็ใช้เวลาทั้งปี 2555 เตรียมการ และผลิดอกออกผลมาเป็นสิ่งที่เราคิดไว้หมด

สิ่งที่คิด คือ อยากจะทำทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง โดยที่เบื้องหน้าจะเป็นพิธีกรที่รับงานสมกับวัย เหมาะกับฝีมือ ส่วนงานเบื้องหลังฉันก็จะเปิดโรงงานผลิตรายการทีวีที่เต็มไป ด้วยคนรุ่นใหม่ไฟแรงโดยที่ฉันจะเติมเต็มคนเหล่านั้นด้วยประสบการณ์ที่ฉันมี ให้ครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องของสายตาคนรุ่นใหม่ อีกครึ่งหนึ่งเป็นประสบการณ์จากคนรุ่นเก่า ผสมกัน

ผมเป็นคนเบื้องหน้าที่โตจากงานเบื้องหลัง ผมเห็นคนเบื้องหลังหลายคนที่สามารถขยับมาทำงานเบื้องหน้าได้ เราก็สร้างคนในแบบที่เราเติบโตมา

การสร้างคนในแบบน้าเน็ก

ประสบการณ์ 20 ปี ผมประมวลสิ่งที่ประสบมาและส่งต่อในแบบที่ผมประสบมา ความสำเร็จคือ ตัวเราที่เป็นมาจนถึงตอนนี้ สิ่งที่เรียนรู้คือ สิ่งที่ผมประสบมาทั้งหมด แม้สิ่งนั้นจะไม่ใช่สัจธรรมหรือคำตอบของจักรวาล อาจจะใช้ได้แค่วิธีในแบบของผม

สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ เรารู้ว่า ควรจะทำยังไงกับงานของเรา และสิ่งสำคัญคือ เราพิจารณาทุกความสำเร็จและความล้มเหลว

ความสำเร็จ ถ้าหาเหตุผลให้มันไม่ได้ ก็ไม่ต่างกับความฟลุ๊ค ในขณะที่ความล้มเหลว ถ้าหาสาเหตุไม่ได้ ก็ไม่ต่างจากความซวย ความฟลุ๊คกับความซวยไม่ช่วยให้เราเติบโต ดังนั้น งานไหนที่ดี ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมเวิร์ค งานไหนไม่ดี ก็ต้องหาให้เจอว่าทำไมไม่เวิร์ค นี่คือสิ่งที่ผมส่งผ่านผู้คน

สุดท้ายท้ายสุด ทีวีก็เป็นงานแขนงหนึ่งที่ไม่สามารถมีสูตรตายตัว มีเงื่อนไขของเวลา ยุคสมัย สังคม ผู้คน ใครจะรู้ว่า อยู่ ๆ คนไม่ดูทีวีแล้ว แสดงว่า ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาใช้ไม่ได้หรอก ต้องปรับตัว ใครจะรู้ว่าปรากฏการณ์ทางสังคมจะเกิดขึ้นมากมาย สิ่งที่เราไม่คิดว่าจะเกิดมันก็เกิด ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน และปรับตัว ดังนั้น สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ การค้นหาเหตุผลของความสำเร็จและความล้มเหลว มันใช้ได้กับทุกสถานการณ์ อีกหน่อยคนอาจจะดูทีวีจากรูอะไรซักอย่างที่เราไม่อาจคาดเดาก็ได้

อายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกับการทำงานหรือไม่

ผมเป็นคนเคารพอายุและวัยของตัวเอง เมื่อถึงวัยนี้ ก็รู้สึกว่า โตแล้ว เลิกหัวสี ใส่สูท เลิกแต่งตัวประหลาด เปลี่ยนทรงแว่นให้ดูเป็นผู้ใหญ่ ถ้าคงสไตล์น้าเน็กเมื่อ 10 ปีก่อน เดินกับแม่ แม่จะอายไหม

วิธีการทำงานเองก็ต้องเหมาะสมกับวัย สังขารจะเป็นตัวฟ้องว่าเราควรทำงานมากน้อยแค่ไหน การทำงานเบื้องหน้า รายการต้องเหมาะกับวัย ไม่พยายาม Under-Age หรือทำตัวแอ๊บแบ๊ว ไม่กลัวแก่ เพราะฉะนั้น งานเบื้องหน้าของผมก็จะโตขึ้น ลดความโลดโผนให้สมกับวัยและสังขาร

ในขณะที่งานเบื้องหลัง จากที่คนทำโปรดักชั่น ออกกอง ตื่นตี 5 แบกหาม ตากแดด ทำงานทุกส่วน แต่วันนี้ ร่างกายบู๊ขนาดนั้นไม่ไหว สายตามองผ่านเลนส์ไม่คมชัดเหมือนตากล้องรุ่นใหม่ ก็ขึ้นมาทำงานบริหาร ส่งผ่านแนวคิดและประสบการณ์ คอยแก้ไข แนะนำให้กับเด็กรุ่นใหม่

ยุคสมัยเป็นของคนรุ่นใหม่เสมอ แต่คนรุ่นใหม่ ขาดประสบการณ์ ในขณะที่ประสบการณ์ของเราก็ขาดความจัดจ้านและเทรนด์ของยุคสมัยใหม่ ดังนั้น ลักษณะการทำงานทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังก็ต้องดีไซน์ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน ตอนเป็นวัยรุ่น ใช้ร่างกายหนักสมวัย เมื่ออายุมากขึ้นก็ต้องปรับตัวให้สมวัย

ยากไหมกับการปรับตัว

ผมไม่ได้พึ่งแก่เมื่อวาน เราพิจารณาตัวเองทุกวัน ค่อย ๆ ปรับตัวเองไปเรื่อย ๆ ก่อนที่ผมจะเลิกเป็นสีสันจัด ๆ ก็ไม่ใช่ทำสีดำเลย แต่ค่อย ๆ ปรับสีให้จางลง ก่อนจะมาผูกไทด์ ใส่สูท ก็เริ่มจากสูทแจ็คเก็ต สูทลำลองก่อน ไม่ได้ปรับปุ๊บปั๊บเป็นอีกคนเลย

ผมค่อย ๆ ปรับเรื่อย ๆ เคารพการเปลี่ยนแปลงได้ดี ปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ถ้าถามตอนนี้อาจจะดูว่า เราปรับตัวเป็นคนละคน แต่ถ้ามองย้อนไป จะเห็นว่า เราปรับตัวมาเรื่อย ๆ ตอนเข้าวงการใหม่ๆ ใส่เสื้อหนังลายงู ต่อเล็บยาว แก้มแดง พอมาดูรูปเก่า ๆ ก็รู้สึกตลกตัวเองที่ "จัดจ้าน" ได้ขนาดนั้น

ให้ความสำคัญกับสุขภาพอย่างไรบ้าง

ปี 2557มีการตั้งเป้าหนึ่งในชีวิตคือ ออกกำลังกายและเข้ายิม ก่อนตายขอมีกล้าม มีซิกแพ็ก ผลดีคือ สุขภาพร่างกายแข็งแรง อีกด้านหนึ่งคือ การตั้งเป้าหมายบางอย่างในชีวิต ให้เรามุ่งไป หยิบอะไรใส่ปากจะได้ฉุกคิดว่า ควรไหม เพราะเมื่อเราโตขึ้น มีเงิน อยากกินอะไรก็กิน เป้าหมายนี้จะได้ถ่วงดุล

ผมไม่ใช่คนเนี้ยบมาก ไม่ชอบทาครีม สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอร์บ้าง แต่เล่นกีฬาหลายอย่างทั้ง สเก็ตบอร์ด เวคบอร์ด ตีกอล์ฟ ยิงปืน ยิงธนู ที่เล่นเป็นประจำ สลับกันไป

แบ่งเวลางานกับกีฬาอย่างไร

งานกลมกลืนกับชีวิตผมซะจนเรียกได้ว่า 90% ของชีวิตคืองาน แต่กิจกรรมก็กลมกลืนกับ 90% นั้น เช่น เวลาไปถ่ายรายการที่สตูดิโอ สนามยิงปืนอยู่ใกล้ ๆ เราก็แวะไป หรือถ้าไปประชุมก็นัดคุยงานกันในสนามกอล์ฟ หรือถ้าไปถ่ายงานแถวรังสิตนครนายกก็จะยกเวคบอร์ดไปด้วย ระหว่างรอดารารับเชิญหรือรอเซ็ทฉาก ก็จะมีเวลาว่างเล่นซักพัก สเก็ตบอร์ดก็เอาเวลาว่างจากงานหรือเครียด ๆ หยิบมาไถเล่นหน้าออฟฟิศ ถ้าอยากเล่นกีฬาอะไรเป็นพิเศษ เราก็ยกรายการไปถ่ายกับกีฬานั้น ๆ ชวนดารามาเล่น

ผมพยายามเติมให้เต็มช่องว่าง บริหารจัดการการออกกำลังกายให้สัมพันธ์กับงานและเวลา พยายามให้กีฬาเข้ามาอยู่ในชีวิตเราโดยไม่ต้องรอวันว่างหรือวันหยุด สสส.โปรโมทว่า แค่ขยับก็เท่ากับการออกกำลังกาย สิ่งที่เราทำก็น่าจะได้ประโยชน์ แม้จะเป็นทางอ้อม ๆ เพราะผมไม่ได้เล่นจริงจัง แต่อย่างน้อยได้ยืดเส้นยืดสาย

อีกอย่าง ผมรักงานของผมนะ แต่บางทีเราอยู่กับอะไรมาๆ ก็หมกมุ่นจนเครียด เราก็ต้องออกสมาธิมาจากมันบ้าง เดินออกมาไถสเก็ตบอร์ดให้เหงื่อซก แล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ

ดูแลภาพลักษณ์ตัวเองอย่างไรบ้าง

เรื่องภาพลักษณ์ต้องบอกว่า ล้มเหลวมาก ผมเป็นคนหน้าตาไม่ดี คนหน้าตาไม่ดี มักทำ 2 อย่างคือ ทำนุบำรุงทุกอย่างเพื่อไม่ให้มันแย่กว่านี้ หรือปล่อยวาง เครพความหน้าตาไม่ดีแล้วไปพัฒนาตัวเองด้านอื่น ซึ่งผมเป็นคนอย่างหลัง เพราะคิดว่า ขาวเนียนไปก็ไม่ได้ดูหล่อเหลาขึ้น เลยไม่ได้โอ๋ตัวเองเท่าไหร่ ตีกอล์ฟก็ไม่ได้ทากันแดด เป็นสิวก็บีบแบบไม่แคร์รอย เพราะถ้าหน้าเนียนไม่อยู่ในรูปหน้าหล่อคงไม่มีความหมาย เลยไม่ค่อยดูแลภาพลักษณ์เท่าไหร่

ช่วงหนึ่งผอมมากๆ หล่อเชียว แต่คนไม่ชอบ บอกไม่ใช่น้าเน็ก ตัวเองก็กลัวนะว่าถ้ามีกล้าม มีซิกแพ็ก คนจะไม่ชอบ เหมือนที่คิดว่า คนคงจะไม่ชอบถ้าโก๊ะตี๋ผอม คนคงคุ้น กับผมที่ดูอวบ ๆ เลยไม่ได้ให้ราคา เพราะคนชอบเราไม่ได้มาจากพวกนี้ ต้องมานึกว่า คนชอบเราเพราะอะไร ก็มาพัฒนาส่วนนั้น หน้าตาไม่เกี่ยว

ผมเลยหาจุดเด่นและพัฒนา ในรูปคุณภาพของงาน ความสนุกสนานของรายการ ความแปลกใหม่ แตกต่าง เพราะคนคาดหวังว่า น้าเน็กโผล่มาต้องไม่ธรรมดา ฮา เพี้ยน คาดไม่ถึง จะได้เห็นอะไรใหม่ ๆ เราก็จะไปพัฒนาและมุ่งมั่นกับตรงนั้นเป็นหลัก

อนาคตของน้าเน็กจะเป็นอย่างไร

ตอนนี้ผม 45 ปี ผมลงมาลุยงานเต็มตัวทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังประมาณ 5 ปี พอถึงวันที่ผม 50 ผมจะเป็นผู้ชายวัย 50 ที่ทำรายการสัปดาห์ละรายการเดียวแก้เหงา เป็นรายการทอล์คโชว์ใหญ่ ๆ เอาไว้เจอแฟน เอาไว้พูดคุยบอกเล่าเรื่องเหมือนคนแก่ ตำแหน่งปัจจุบันก็จะมีเด็กรุ่นใหม่มาทำแทน ผมก็จะเข้าออฟฟิศแค่เดือนละ 2 ครั้ง เพื่อมาเป็นคนแก่ให้โอวาทหรือให้ประสบการณ์ ดูอยู่ห่าง ๆ

ถึงวัยที่ผม 50 ก็อาจจะมีอะไรที่สนใจใหม่ ๆ มาโดยที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ผมชอบพูดเล่น ๆ คิดเล่น ๆ ว่าอยากจะมีชีวิตถึงแค่ 55 ปี อาจจะพอแล้ว เพราะไม่ได้อยากอยู่นาน ความฝัน กิเลส และความปรารถนาไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง ทุกวันนี้คือฟินแล้ว คือ ทำงาน ชอบงาน อยากเห็นรายการ อยากสนุกกับผู้คน ผมได้แล้ว เงินเป็นของแถมผมไม่ได้อยากมีบ้านใหญ่ สมบัติเยอะ ๆ การเปิดบริษัทไม่มีเรื่องของการทำรายได้

แต่เงินเป็นของแปลก ถ้าไม่ได้อยากได้ เงินจะมา ผมแค่อยากทำรายการสนุก ๆ แปลกใหม่ เป็นที่ชื่นชอบ กล่าวขวัญ พอรายการเป็นที่ชื่นชอบ ผู้คนก็จะตอบแทนเราเองในรูปของเงินทองชื่อเสียง มันมาของมันเอง

ผมไม่ได้อยากอยู่นานเพื่อเสพย์สุข ใช้เงิน แต่ถือเป็นช่วงเวลาอีก 5 ปี ตอบโจทย์ ทำรายการอาทิตย์ละ 1 รายการ ใช้ชีวิตง่าย ๆ ช้า ๆ ไม่ติดโซเชียล ใช้ชีวิตเอ้อระเหย จากเดิมที่ใช้ชีวิตแน่นเปรี้ยะ ตั้งแต่หนุ่ม ๆ อยากเป็นคนที่ปล่อยเซอร์ ห่างจากโทรศัพท์ซัก 3-4 วัน โดยไม่รู้ตัว ใช้ชีวิตช้า ๆ

แต่ถ้าอยากใช้ชีวิตให้ช้าที่สุด เราต้องเร็วที่สุดก่อน เพื่อที่เราจะวิ่งแซงหน้าคนอื่นไปให้มากที่สุด ไกลที่สุดก่อน แล้วค่อยเดินช้า ๆ โดยที่คนอื่นยังคงวิ่งตามหลังเรา

*********************