HPV ป้องกันตั้งแต่วัยรุ่น
มะเร็งปากมดลูกไม่ใช่เรื่องไกลตัวเด็ก แพทย์ยืนยันแล้วว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับเชื้อตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น
ข้อมูลวิชาการโดย ผศ.นพ.ชนเมธ เตชะแสนศิริ
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อ
โรงพยาบาลรามาธิบดี
เชื้อเอชพีวี (HPV) หรือชื่อเต็มคือ ไวรัสฮิวแมนแพลพิลโลมา (Human papillomavirus) เป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด โดย HPV แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
HPV ชนิดก่อมะเร็ง: มี 14 สายพันธุ์ ทำให้เป็นโรคร้ายมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด โดยสายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึงประมาณร้อยละ 70 รองลงมาคือ สายพันธุ์ 45, 31, 33
HPV ชนิดไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง: ไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก แต่เป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ เช่น HPV 6, 11
มะเร็งปากมดลูกร้ายแรงอย่างไร?
มะเร็งปากมดลูกคือมะเร็งที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของเซลล์บริเวณปากมดลูก ซึ่งหากไม่ได้รับการตรวจพบและรักษาได้ทันเวลา ก็อาจเกิดการลุกลามและแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียงได้ โดยเฉพาะอวัยวะสำคัญภายในช่องท้อง เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ ทำให้ยากแก่การรักษาและมีโอกาสเสียชีวิตสูง
มะเร็งปากมดลูกพบมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม ในประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ถึงปีละประมาณ 8,200 คน ครึ่งหนึ่งจะเสียชีวิตภายใน 5 ปี ในแต่ละวันมีหญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกถึงวันละ 12 คน
ผู้หญิงติดเชื้อ HPV ได้อย่างไร
เชื้อ HPV ติดต่อได้ง่ายผ่านทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก หลังจากติดเชื้อจนเซลล์ปากมดลูกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งอาจใช้เวลานาน 10-15 ปี ซึ่งผู้หญิงที่ติดเชื้อมักจะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เป็นระยะเวลานาน เมื่อมีอาการ เช่น เลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจำเดือน มะเร็งมักเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว
ใครมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก
ผู้หญิงแทบทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย และผู้หญิงที่มีคู่นอนหลายคน โดยพบว่าวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่พบการติดเชื้อ HPV มากที่สุด ดังนั้นการป้องกันจึงควรทำตั้งแต่ก่อนเด็กหญิงเข้าสู่วัยรุ่น จากการศึกษาพบว่าร้อยละ 50-80 ของผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วมีโอกาสติดเชื้อ HPV อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต แม้จะมีคู่นอนเพียงคนเดียวก็มีโอกาสติดเชื้อได้ และแม้ว่าร้อยละ 90 ของผู้หญิงที่ติดเชื้อ HPV แล้ว จะสามารถกำจัดเชื้อได้เอง แต่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าผู้หญิงคนไหนสามารถกำจัดเชื้อร้ายนี้ได้ ดังนั้นการป้องกันการติดเชื้อจึงมีความสำคัญมาก
เราจะป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้อย่างไร?
สามารถป้องกันได้ 2 วิธี คือ ฉีดวัคซีน HPV เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเมื่อถึงวัย ซึ่งหากตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ในระยะแรกๆ แพทย์ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้
วัคซีน HPV ป้องกันได้อย่างไร?
วัคซีน HPV จะกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อ HPV ปัจจุบันวัคซีน HPV มี 2 ชนิด ชนิดแรก เป็นวัคซีน HPV ชนิด 2 สายพันธุ์ ซึ่งมีการเสริมสารกระตุ้นภูมิรุ่นใหม่ เน้นป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็ง (HPV 16, 18 และ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็งอื่นๆ) อีกชนิดเป็นวัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์ ใช้ป้องกันมะเร็งปากมดลูก (จาก HPV16, 18) และหูดอวัยวะเพศ (จาก HPV 6, 11)
ลูกสาวเรายังเด็กเกินไปที่จะรับวัคซีนหรือไม่?
มะเร็งปากมดลูกไม่ใช่เรื่องไกลตัวเด็ก แม้ว่าโรคนี้มักพบในผู้หญิงช่วงวัยกลางคนขึ้นไป แต่จากการศึกษาพบว่า ธรรมชาติของการเกิดโรคใช้เวลานาน 10-15 ปีหลังจากผู้หญิงเกิดการการติดเชื้อจนพัฒนาไปเป็นมะเร็ง หมายความว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่ได้รับเชื้อตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ดังนั้นเพื่อให้วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงสุดจึงควรให้วัคซีนก่อนที่เด็กจะได้รับเชื้อ HPV นั่นคือควรให้วัคซีนในช่วงวัยรุ่นตอนต้น หรือก่อนการมีเพศสัมพันธ์นั่นเอง
เนื่องจากเด็กสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าผู้ใหญ่ การฉีดวัคซีนในเด็กหญิงช่วงอายุ 9-14 ปี จึงเป็นโอกาสดี เนื่องจากสามารถให้วัคซีนเพียง 2 เข็มได้ หากอายุมากกว่า 15 ปี ต้องฉีด 3 เข็ม การลดจำนวนเข็มที่ต้องฉีดลงจาก 3 เข็มเหลือ 2 เข็มนี้ มีข้อดีคือ ประหยัดกว่า สะดวกกว่า และเจ็บน้อยกว่า โดยตารางการฉีดแบบ 2 เข็มนี้ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว (เฉพาะวัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์)
นอกจากนี้สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยได้มีคำแนะนำการให้วัคซีน HPV โดยเน้นให้ฉีดวัคซีน HPV ในเด็กหญิงช่วงอายุ 11-12 ปี (แนะนำให้ฉีด 2 เข็มที่ 0, 6 เดือน หรือ 3 เข็มที่ 0, 1, 6 เดือนสำหรับวัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ สำหรับวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์แนะนำให้ฉีด 3 เข็มที่ 0, 2, 6 เดือน) ทั้งนี้การฉีดวัคซีนตั้งแต่วัยเด็กก็เพื่อให้ลูกพร้อมรับมือกับเชื้อที่เข้ามาเมื่อถึงวัยแต่งงานหรือจะมีเพศสัมพันธ์ในอนาคต การให้ลูกฉีดวัคซีนตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วัยรุ่นจึงเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะให้การปกป้องแก่ลูกตั้งแต่วันนี้
เราแก่เกินไปที่จะฉีดวัคซีนหรือไม่
แม้ว่าวัคซีน HPVจะให้ประโยชน์สูงสุดในเด็กหญิง แต่การให้วัคซีนในผู้ใหญ่ก็ยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติมาก ผลการศึกษาในผู้ใหญ่พบว่าวัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันรอยโรคก่อนมะเร็ง ผู้ใหญ่จึงยังได้ประโยชน์จากการฉีดวัคซีนเช่นกัน
ปัจจุบันวัคซีน HPV ชนิด 2 สายพันธุ์ได้รับอนุมัติให้ฉีดในผู้หญิงตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป สำหรับวัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์ได้รับอนุมัติให้ใช้ในผู้หญิงและผู้ชายอายุ 9-26 ปี
วัคซีนปลอดภัยหรือไม่
การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV มีความปลอดภัยสูง ไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรง ส่วนใหญ่อาการที่พบบ่อยได้แก่ ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีดยา ซึ่งอาการดังกล่าวมักจะดีขึ้นและหายไปภายในเวลาประมาณ 3 วัน