'สรรพสามิต'เล็งรื้อเกณฑ์ยกเว้นภาษีสินค้าเครื่องดื่ม

"กรมสรรพสามิต" เล็งปรับเกณฑ์ยกเว้นภาษีเครื่องดื่ม ระบุ เครื่องดื่มชาเขียวเข้าข่ายต้องเสียภาษีตามเกณฑ์ใหม่นี้
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิต กำลังพิจารณาเกณฑ์การยกเว้นภาษีสรรพสามิตในสินค้าประเภทเครื่องดื่ม โดยสินค้าเครื่องดื่มที่เข้าข่ายได้รับยกเว้นตามประกาศของอธิบดีกรมฯ จะต้องเป็นเครื่องดื่มที่ใช้วัตถุดิบการเกษตรที่ปลูกและผลิตในประเทศ ขณะเดียวกัน จะต้องไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพผู้ดื่มด้วย
ปัจจุบันมี เครื่องดื่มที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มนั้น มีอยู่ประมาณ 111 รายการ เนื่องจากเข้าเกณฑ์ 2 ข้อโดยจะต้องเข้าเกณฑ์ ข้อใดข้อหนึ่งตามที่กรมสรรพสามิตกำหนด กล่าวคือ 1. เป็นเครื่องดื่มที่ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบการเกษตรภายในประเทศ โดยจะต้องมีสัดส่วนของวัตถุดิบการเกษตรภายในประเทศ ตามที่กรมกำหนด และ 2. จะต้องเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ โดยผู้ผลิตต้องยื่นเรื่องให้กรมเป็นผู้พิจารณา
"เกณฑ์ใหม่ของกรมฯที่จะกำหนด สำหรับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มก็คือ จะต้องเข้าเกณฑ์ทั้งสองประการ จะเข้าข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ เช่น ในปัจจุบัน เครื่องดื่มชาเขียวที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มนั้น ได้เข้าเกณฑ์การใช้วัตถุดิบการเกษตรภายในประเทศเท่านั้น" เขากล่าว
กรณีของเครื่องดื่มชาเขียวที่ได้รับยกเว้นภาษี สาเหตุ คือ เราต้องการส่งเสริมคนที่อยู่บนดอยสูง ให้มีอาชีพ และส่งเสริมการปลูกป่า ดังนั้นจึงได้ยกเว้นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของใบชา เมื่อเพิ่มเกณฑ์ด้านสุขภาพเข้ามาด้วย กรมสรรพสามิตจำเป็นต้องไปตรวจสอบว่า ชาเขียวในแต่ละยี่ห้อมีความหวานสูงจนมีผลเสียต่อสุขภาพหรือไม่
"เรื่องนี้กรมสรรพสามิตเคยหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรื่องผลเสียของความหวานในระดับสูงในเครื่องดื่ม ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เนื่องจาก ในระยะหลังมานี้ ผู้บริโภคที่ห่วงใยต่อสุขภาพ ได้พูดถึงประเด็นความหวานในเครื่องดื่มมากขึ้น" เขากล่าว
เขากล่าวด้วยว่า นอกจากการปรับปรุงเกณฑ์การยกเว้นภาษีเครื่องดื่มดังกล่าวแล้ว กรมสรรพสามิต ก็จะเข้มงวดมากขึ้น ประเด็น เรื่องการใช้วัตถุดิบการเกษตรในประเทศ มาเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่ม หรือเป็นการนำเข้าหัวเชื้อจากต่างประเทศเข้ามาผสม
ปัจจุบันภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่ม แบ่งออกเป็น 3 รายการ คือ 1.เครื่องดื่มประเภทโซดา จัดเก็บในอัตรา 25% หรือ 077 บาท/440 ซีซี แล้วแต่ว่า เก็บวิธีใดจะทำให้รัฐได้เม็ดภาษีมากกว่ากัน 2.เครื่องดื่มทั่วไป เก็บในอัตรา 20% หรือ 0.37 บาท/440 ซีซี และ 3. น้ำผลไม้ แบ่งเป็นน้ำผลไม้ทั่วไป เก็บในอัตรา 20% หรือ 0.37 บาท/440 ซีซี และน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมตามที่กรมกำหนด ได้รับการยกเว้นภาษี
ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลัง เสนอแนวทางเบื้องต้นเกี่ยวกับแผนการจัดเก็บภาษีสินค้าตัวใหม่ ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณา ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ เสนอร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมรดก รวมถึงการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ เช่น กาแฟ ชาเขียว และเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลจำนวนมาก ซึ่ง คสช. เห็นด้วย และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม
กระทรวงการคลัง ได้นำแผนการจัดเก็บภาษีสินค้าตัวใหม่ๆ มาปัดฝุ่นเสนอ คสช.พิจารณา ซึ่ง คสช. ก็ตอบรับแล้ว ส่วนขั้นตอนต่อไป ต้องเสนอให้ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาร่างกฎหมายทั้งหมด
นอกจากนี้ ได้สั่งการให้กรมสรรพสามิตไปศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มในตู้แช่ที่วางจำหน่ายตามร้านค้าปลีกทั่วไป เพื่อให้ทุกรายเสียภาษีเท่าเทียมกันอย่างเป็นธรรม หากรายการใดที่ยังไม่เสียภาษี ก็ควรมีการจัดเก็บให้เท่าเทียม เช่น ชาเขียว หากมีกรรมวิธีการผลิตและรูปแบบสินค้าเหมือนเครื่องดื่มอื่นก็ควรเสียภาษีให้เท่ากัน
ทั้งนี้กำลังอยู่ในขบวนการพิจารณาว่า จะเก็บภาษีเครื่องดื่มชาเขียวที่อัตรา 10% หรือ 20% ของมูลค่า ซึ่งการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มชาเขียวสามารถออกเป็นประกาศกรมสรรพสามิต ให้สามารถจัดเก็บได้เลย หากเก็บในอัตรา 20% จะได้รายได้รวม 3 พันล้านบาทต่อปี
กรมสรรพสามิต ศึกษาเรื่องการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มชนิดชาเขียวและกาแฟ ซึ่งมีส่วนผสมของคาเฟอีนและน้ำตาลอยู่จำนวนมากมานานแล้ว ในทางสาธารณสุข มองว่า ส่วนผสมที่มีน้ำตาลจำนวนมาก ทำลายสุขภาพ ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ถือว่าร้ายแรงเทียบเท่ากับโรคเอดส์ ซึ่งในต่างประเทศได้รณรงค์ให้ลดการดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้ พร้อมทั้งจัดเก็บภาษี หาก คสช. อนุมัติให้จัดเก็บภาษีสินค้าดังกล่าว โดยคิดจากอัตราการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มทั่วไปคำนวณกับยอดการจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทนี้ต่อปีแล้ว กรมฯจะจัดเก็บภาษีได้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี