ของขวัญไฮเทคเหมาะกับผู้ให้ ถูกใจผู้รับ (จริงหรือ?)

ของขวัญไฮเทคเหมาะกับผู้ให้ ถูกใจผู้รับ (จริงหรือ?)

ดร.ปรียาสิริ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กจาก รพ.รามาฯ ตั้งคำถามสะกิดใจผู้ปกครอง ที่นิยมซื้อของเล่นอัจฉริยะราคาแพงให้ลูกหลาน โดยเชื่อว่าจะทำให้ฉลาด

ไม่ว่าจะปีใหม่ วันเด็ก หรือวันเกิดที่ผ่านมาแล้วหรือกำลังจะผ่านไป ำถามส่วนใหญ่สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กคือ องขวัญอะไรถึงจะช่วยส่งเสริมสติปัญญาให้ลูกบ้าง

 

เคยตั้งคำถามว่า “ของเล่นอัจฉริยะทำให้คนเล่นโง่ได้จริงหรือไม่?” ถ้าลองหันไปมองรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาสุนัขเห่าได้ ตุ๊กตาที่เต้นรำได้ หรือแม้แต่ตุ๊กตาที่กดแล้วสามารถพูดโต้ตอบได้ ของเล่นไฮเทคเหล่านี้มีตลาดที่กว้างใหญ่และทำเงินได้ดีมากจริงๆค่ะ และถึงแม้ว่าเราจะพบงานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ทั้งที่ได้รับเงินสนับสนุนจากบริษัทผลิตของเล่น หรือแม้แต่ทำงานวิจัยด้วยเพราะความสนใจใคร่รู้จริงๆแล้วก็ตาม

 

งานวิจัยกลับพบว่า เด็กมีแนวโน้มจะยึดติดกับสิ่งของมากกว่าคนจริงๆ เคยสังเกตไหมคะว่า ของเล่นประเภทมีแสงไฟวิบวับหรือว่ามีเสียงดังปิ๊ปๆ มักจะทำให้เด็กสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะตุ๊กตานั้นเราจะจับมันทำอะไรก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ อย่างไรก็ได้ โดยที่มันไม่มีปากเสียงโต้ตอบ แต่สำหรับเพื่อนหรือแม้แต่คนด้วยกันแล้วยิ่งถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างการเล่นของเล่นกับการเล่นกับคนจริงๆแล้วล่ะก็ เทียบกันไม่ติด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อดี แต่จริงๆแล้วเป็นข้อเสียอย่างร้ายแรง การเรียนรู้ผ่านการเล่นเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการสอนให้เด็กรู้จักการให้ การรับ ความร่วมมือ หรือแม้แต่การเรียนรู้เรื่องอารมณ์สงสารหรือเห็นใจ ซึ่งสำหรับตุ๊กตาแล้ว ไม่ว่าจะไฮเทคสักแค่ไหนก็ไม่สามารถให้สิ่งเหล่านี้ได้เลยค่ะ

 

เด็กขาดความคิดสร้างสรรค์

ขณะที่สื่อจำพวกหนังสือจะช่วยสร้างเสริมจินตนาการให้กับเด็ก แต่ของเล่นไฮเทคส่วนใหญ่จะทำให้เด็กนั่งแล้วมองจ้องมันแทนที่จะมีการสื่อสารหรือเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ น่าแปลกที่ของเล่นเหล่านี้เริ่มรุกการตลาดไปยังกลุ่มเด็กเล็กและเริ่มเล็กลงไปเรื่อยๆ ยิ่งเด็กวัยเตาะแตะใช้เวลากับการดูหรือกดปุ่มมากเท่าไหร่ ก็จะเสียเวลาในการอ่านหนังสือ วิ่งไล่จับ ใช้ชีวิตแบบที่เด็กๆเป็นน้อยลงเท่านั้น ถ้านั่นไม่ได้ทำให้ผู้อ่านคิดออกว่ามันต่างกันอย่างไรแล้วล่ะก็ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กได้กล่าวไว้ว่า เด็กที่ไม่ได้รับการพัฒนาทักษะหรือใช้ชีวิตจากการเล่นมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งขาดโอกาสที่จะพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่รวมถึงทักษะความสัมพันธ์ระหว่างมือและตามากขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้นยังจะส่งผลเรื่องการเรียนในระยะยาวอีกด้วยค่ะ

 

เด็กมีสมาธิสั้นลง จากสถิติของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐพบว่า เด็กอายุ 4-17 ปีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กสมาธิสั้นถึง 11% นั่นหมายถึงเกือบ 7 ล้านคน และเมื่อมองภาพรวมทั่วโลกแล้ว เด็กมีแนวโน้มจะมีภาวะสมาธิสั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันการเติบโตของตลาดของเล่นไฮเทคก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนเมื่อเร็วๆนี้เราได้ยินข่าวว่า เด็กอายุ 6 ดือนสามารถสไลด์เปิดโทรศัพท์สมาร์ทโฟนก่อนที่จะเดินหรือแม้แต่พูดคำแรกได้เสียด้วยซ้ำ ในสมัยก่อนการใช้ตัวต่อเป็นรูปต่างๆอาจใช้เวลาถึง 30 นาทีเป็นอย่างน้อย หรือแม้กระทั่งการที่จะได้ภาพสักภาพต้องใช้เวลาค่อยๆผสมสี ค่อยๆระบาย นั่นแสดงให้เห็นถึงความอดทน การรอคอย ความตั้งใจและมุ่งมั่น ไม่ใช่เสร็จภายในพริบตาเดียว แต่เมื่อเกมเหล่านี้อยู่บนมือถือ เด็กใช้เวลาไม่กี่นานก็เล่นจบ หรือเราก็ยังจะพบได้บ่อยๆว่าบางครั้งเพื่อให้ได้คำตอบ เด็กจะกดมือถือไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คิดอย่างรอบคอบจริงจัง ทำให้ท้ายที่สุดเด็กเหล่านี้กลายเป็นเด็กที่ไม่ชอบการรอคอย เอาแต่ใจและก้าวร้าวมากขึ้น

 

อีกเรื่องที่ดูเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดีก็คือเรื่องค่าใช้จ่ายค่ะ ซึ่งดูเป็นเรื่องปกติที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำงานหนักขึ้น นานขึ้น เพื่อที่จะหาเงินมาซื้อของขวัญไฮเทคราคาแพง จนแทบจะไม่มีเวลาเล่นกับลูกๆ ทั้งๆที่การเล่นกับลูกควรจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตลูกเสียด้วยซ้ำ  และเพราะเชื่อผิดๆว่า สิ่งที่เด็กเล็กๆต้องการคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยของเล่นไฮเทคชนิดต่างๆ ซึ่งนอกจากจะเสียเงินมากกว่าปกติแล้ว ยังเป็นการลดทอนพัฒนาการด้านความคิดที่ควรจะงอกงามในตัวเด็กๆให้หายไปด้วยค่ะ

คำถามคือ แล้วคุณพ่อคุณแม่ควรทำอย่างไร คำตอบคือต้องสร้างสมดุล เริ่มจากให้เด็กเล็กๆได้เล่นตัวต่อ ลูกบอล วาดภาพระบายสี เพื่อเป็นการเสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ลองคิดย้อนกลับไปเมื่อสมัยเราเป็นเด็กดูสิคะ สมัยนั้น โทรทัศน์ก็หายากเต็มทน เราได้ใกล้ชิดธรรมชาติและธรรมชาติก็สอนอะไรเรามากมาย แต่ในเด็กรุ่นใหม่สิ่งเหล่านี้กลับขาดแคลน

สุดท้ายขอฝากไว้ว่า ก่อนที่จะเลือกซื้อของเล่นไฮเทคทั้งหลาย คุณพ่อคุณแม่ควรจะถามตัวเองก่อนว่า “ของเล่นนั้นสามารถเปิดโอกาสให้ลูกคิดและสร้างจินตนาการโดยไร้ขอบเขตได้หรือไม่?” เพราะของเล่นไฮเทคส่วนใหญ่แล้วมักจะถูกป้อนข้อมูลไว้ล่วงหน้าเพื่อที่จะให้ได้คำตอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และเหนือสิ่งอื่นใดไม่ว่าของเล่นคืออะไร

จงจำไว้ว่า เพื่อนที่จะเล่นด้วยกันที่ดีที่สุดคือคุณพ่อคุณแม่ และเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าลูกโน้มเอียงให้เวลากับของเล่นไฮเทคแล้ว ก็จงเริ่มที่จะจำกัดชั่วโมงในการเล่นโดยทันที

 

*บทความโดย ดร.ปรียาสิริ มานะสันต์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมาย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยแพร่ใน กรุงเทพธุรกิจกายใจ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2558