'บอย' ปกรณ์ พระเอกคนขยัน
ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ พระเอกนิสัยดีของวงการบันเทิง เดินหน้าเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนเส้นทางธุรกิจควบคู่ไปกับบทบาทนักแสดงแถวหน้า
ซุป'ตาร์หน้าทะเล้นกับบทบาทล่าสุดในละคร “แก้วตาหวานใจ” ที่จบลงไปพร้อมสร้างกระแสให้ “ลุงช้าง” ตัวละครที่ บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ เล่นอย่างน่ารักน่าหยิกนั้น เป็นที่กล่าวถึงอย่างมาก แม้จะเผชิญเรื่องเครียดทำน้ำตาตกในจากกรณีรถหรูแต่ก็ยังยิ้มสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยไม่กระทบกับฝีมือการแสดง
ทักษะในการแสดงของปกรณ์พัฒนาอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับบทบาทที่หลากหลาย เช่นเดียวกับชีวิตจริงที่นักแสดงหนุ่มกำลังมีอีกบทบาทหนึ่งที่เขาทุ่มเทเวลาและกำลังเพื่อขยับตัวเองมาร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ ทำธุรกิจของหวานสัญชาติเกาหลีอย่าง Partyland ตามมาด้วยร้านอาหารญี่ปุ่นอย่างซูชิชิน และล่าสุดคือ ธุรกิจนำเข้า Superga รองเท้าผ้าใบจากอิตาลี
บทบาทใหม่ของ “ว่าที่นักธุรกิจ”
บอย-ปกรณ์เรียนจบมาทางด้านเภสัชกรรม เป้าหมายอนาคตที่เขามองไว้ก็คือการเปิดร้านขายยาของตนเอง แต่ด้วยมองว่า เป็นธุรกิจขนาดใหญ่สำหรับตัวเขาในตอนนี้ ที่ต้องเตรียมการอีกมาก รวมถึงรอความพร้อมหลายๆ ด้าน สิ่งที่เขากำลังเร่งมือทำคือ เก็บเกี่ยวประสบการณ์เชิงธุรกิจให้มากที่สุด
“ตอนนี้ผมอายุ 30 ปีแล้ว ถึงช่วงวัยที่ควรจะมีธุรกิจของตัวเอง ประจวบเหมาะกับเพื่อนมาชวนทำร้านขายไอศกรีมโยเกิร์ตก็ตกลงใจที่จะลองมาทำ”
ดูเหมือนเป็นคนตัดสินใจลงมือทำง่าย แต่จริงๆ แล้ว ปกรณ์เองมองว่า การที่จะไปลงเงินลงแรงทำธุรกิจ ก็ต้องดูว่าไปได้ไหมหรือไม่ตั้งแต่ Partyland ที่ศึกษาข้อมูลแล้วรู้ว่าคนไทยชอบโยเกิร์ต ชอบอะไรที่สดชื่น ชอบรสหวานอมเปรี้ยวที่เหมาะกับอากาศร้อนบวกกับความแปลกใหม่ ทำให้ธุรกิจนี้มีโอกาสที่จะไปได้ดี จึงตัดสินใจไม่ยากที่จะก้าวลงเรือลำนี้
การบริหารธุรกิจนี้ ดาราหนุ่มชี้ว่า เป็นรายละเอียดที่ต้องดูอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่หน้าที่หลัก เพราะหน้าที่หลักของเขาคือ การประชาสัมพันธ์และดูแลร้านโดยรวมๆ
“ผมสนุกกับการดูแลบริการลูกค้า ดูแลพนักงาน ซึ่งวิธีคิดสำหรับผมที่ไม่ได้เรียนทางด้านการตลาดมา จะอาศัยประสบการณ์เป็นหลักว่า เจอแบบไหนแล้วเราชอบ การดูแลแบบไหนที่เราสบายใจ ก็อยากทำแบบนั้นให้กับลูกค้า คิดเผื่อคนอื่นว่าต้องการบริการแบบไหน ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน เช่น ถ้าระดับการบริการเต็ม 10 สำหรับผมที่ไม่ได้ต้องการมากก็อาจอยากได้บริการระดับ 6 แต่คนอื่นอยากต้องการบริการที่ระดับ 8-9 เราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม”
เมื่อธุรกิจแรกที่จับเต็มไปด้วยความสนุก ปกรณ์ตัดสินใจคว้าโอกาสที่ 2 เมื่อมีเพื่อนมาชวนร่วมหุ้นเปิดร้านอาหารญี่ปุ่น ธุรกิจที่ขนาดใหญ่ขึ้นกลายเป็นห้องเรียนที่ 2 ในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์
“จาก Partyland ที่เป็นบริษัทระบบแฟรนไชส์ เราไม่สามารถสร้างสรรค์รสชาติใหม่ๆ ต้องเลือกรสชาติที่คิดว่าคนไทยชอบและนำเข้ามา แต่สำหรับร้านอาหารญี่ปุ่น เราได้คิดตั้งแต่ต้น วางคอนเซปท์ให้พร้อม อาหารต้องดี ราคาเข้าถึงได้ในย่านทองหล่อ และเน้นความพึงพอใจของลูกค้า” ปกรณ์กล่าว
อร่อย ดี คุ้ม และมีภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูมีคลาส กลายเป็นคำจำกัดความของซูชิชิน
ช่วงแรกๆ บอยยอมรับว่า ลูกค้ามีทั้งกลุ่มแฟนคลับและคนที่รู้ข่าวว่า เขาเปิดร้านก็เข้ามาใช้บริการ ฉะนั้น ช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ฟีดแบคดี ลูกค้ากลับมากินเยอะมาก และมีการบอกต่อแบบปากต่อปาก ทำให้เริ่มมองหาสาขาใหม่
ธุรกิจล่าสุดเป็นการก้าวกระโดดจากของกินสู่รองเท้าผ้าใบ เมื่อเพื่อนนำเข้ามาจำหน่ายอยู่แล้ว และชวนร่วมหุ้นด้วย เพราะเป็นคนที่ชอบรองเท้าผ้าใบอยู่แล้ว เมื่อได้เห็นสินค้าแล้วก็สนใจด้วยดีไซน์และความดังในตัวของแบรนด์เอง ทำให้ตัดสินใจร่วมลงทุนในที่สุด
หน้าที่หลักของนักแสดงหนุ่มยังคงมุ่งไปที่การประชาสัมพันธ์แบรนด์ ผ่านการเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ และเป็นโคบายเออร์เลือกรุ่นรองเท้าเข้ามาขายในไทย อีกหน้าที่หนึ่งคือ การดีลกับทางห้างที่เคยดีลงานด้วย ก็จะมีคอนเนคชั่นอยู่บ้าง
"ผมมีแพลนทำธุรกิจหลายอย่างเหมือนกัน แต่ตอนนี้ค่อยๆ ทำไปก่อนก็ไม่ถึงขั้นเป็นเจ้าพ่อทำธุรกิจ บอกตรงๆ เลยว่าทำเพื่อเอาวิชาความรู้ และสนุกด้วย ถามว่ากลัวมีปัญหากับเพื่อนในเรื่องธุรกิจไหม เท่าที่ทำมาก็ไม่เจอปัญหาอะไร ก่อนทำเราค่อนข้างมั่นใจแล้วครับ"
เลือกวางแผนชีวิตระยะสั้น
เมื่อถูกถามถึงแผนการในอนาคต เขายอมรับว่าไม่ได้วางแพลนชีวิตไกลๆ ปล่อยให้เป็นไปตามเวลา ทำให้นึกภาพตัวเองในอนาคตไม่ออก แต่ถ้ามีอะไรที่สนใจก็อาจจะทำอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา
ส่วนอาชีพนักแสดงก็จะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีใครจ้าง (หัวเราะ) เพราะเป็นงานที่รักและสนุกกับมัน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้แปลว่าจะอยู่ไปวันๆ มันจะต้องมีจังหวะที่ค่อยๆ เปลี่ยน ซึ่งจะรู้และหันไปจับอย่างอื่นแทน
“อนาคตที่ผมมองคร่าวๆ คือ สำหรับวงการบันเทิงก็มีสิ่งที่อยากทำคือ เบื้องหลัง แต่ต้องดูความสามารถของเราว่าจะทำได้แค่ไหน พร้อมจะพัฒนาไปในส่วนไหนได้บ้าง ส่วนธุรกิจก็ยังมองว่า จะพัฒนาไปสู่ธุรกิจสเกลใหญ่ขึ้นได้ไหม”
ในช่วงนี้ ปกรณ์ยังคงเน้นธุรกิจที่ร่วมลงทุนกับเพื่อนอยู่ ด้วยมองว่า ธุรกิจไม่สามารถทำคนเดียวได้ ต้องมีหุ้นส่วนที่มีความถนัดแต่ละด้านมาช่วยกันพัฒนาและขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ
ปกติทำแต่ในส่วนของพีอาร์ ส่วนเรื่องการบริหาร เขาแย้มว่า มีคิดบ้าง แต่ยังต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากธุรกิจต่างๆ เพื่อเป็นการเริ่มต้นทำอะไรที่ใหญ่ขึ้น โดยมีต้นแบบคือ คุณแม่และครอบครัว ที่ทำอาชีพค้าขาย ทำให้ซึมซับเรื่องธุรกิจมาบ้างแม้จะไม่ได้ไปดูแล แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่คุยกันเรื่องของการบริหาร การดูแลลูกค้า ทำให้ได้เรียนรู้ที่จะใส่ใจลูกค้า ใส่ใจการบริการ
จากครอบครัวที่ทำธุรกิจการค้าอยู่แล้ว เขามุ่งเป้าหมายของตนเองไว้แล้วว่า คงสร้างธุรกิจของตนเองแน่นอน หนึ่งในนั้นก็คือ ร้านขายยา
“ตอนนี้ ผมไม่คิดจะไปเรียนทางด้านการบริหารธุรกิจเพิ่มนะ เพราะไม่ค่อยชอบอ่านตำรา ตอนนี้ยังอาศัยเรียนรู้จากลูกค้า สิ่งที่ได้จะเป็นรายละเอียดเชิงลึก แม้จะเป็นการเรียนรู้ที่สะเปะสะปะ ต้องใช้เวลานานในการเก็บรวบรวมและตกผลึกข้อมูล มาปรับใช้บริหารจัดการแบบของเรา แต่เมื่อถึงวันที่ต้องทำธุรกิจสเกลใหญ่ มองตลาดใหญ่ที่ตัวเองต้องบริหารเองแล้ว ก็ต้องทำ ต้องไปเรียนรู้ด้านการตลาดและการบริหารจัดการที่เป็นแบบแผน”
แม้เป้าหมายจะชัดเจนขนาดนี้ แต่แฟนคลับนักแสดงหนวดงามอย่าเพิ่งตกอกตกใจ เพราะงานแสดง บอย-ปกรณ์ก็ไม่คิดจะทิ้ง ยังสนุกกับวงการบันเทิง และมีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องแน่นอน