'อย.' ระบุยาห้ามนำเข้าญี่ปุ่น ไม่มีอนุญาตใช้ในไทย

'อย.' ระบุยาห้ามนำเข้าญี่ปุ่น ไม่มีอนุญาตใช้ในไทย

รองเลขาธิการ อย. ระบุยาห้ามนำเข้าญี่ปุ่น ไม่มีอนุญาตใช้ในไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ​เพจสถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้เผยแพร่ข้อความเตือนว่า ​ตามที่มีการรายงานกรณีชาวต่างชาติถูกเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นควบคุมตัวเนื่องจากสั่งยาแก้ปวดชนิดหนึ่งเข้าประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากยาแก้ปวดชนิดนั้นเป็นยาที่รัฐบาลญี่ปุ่นห้ามนำเข้ามาประเทศ เพราะเป็นยาที่มีส่วนผสมต้องห้ามภายใต้กฎหมายของญี่ปุ่น สถานทูตฯขอแจ้งตัวอย่างรายชื่อยาที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายและห้ามนำเข้ามาในญี่ปุ่น ดังนี้ ​1. TYLENOL COLD ​2. NYQUIL ​3. NYQUIL LIQUICAPS ​4. ACTIFED ​5. SUDAFED ​ 6. ADVIL COLD & SINUS ​7. DRISTAN COLD/ “NO DROWSINESS” ​8. DRISTAN SINUS ​9. DRIXORAL SINUS ​10. VICKS INHALER และ ​11. LOMOTIL นั้น

ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ประกาศเตือนดังกล่าวอ้างอิงจากประเทศสหรัฐ​อีกต่อหนึ่ง เมื่อตรวจสอบรายชื่อยาดังกล่าวแล้ว เป็นชื่อทางการค้า ซึ่งเกือบทั้งหมดไม่ได้ขึ้นทะเบียนในประเทศไทย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ยาหมายเลข 1,4,5,6,7,8,9 ไม่ได้ขายในประเทศไทย เป็นยาที่มีส่วนผสมของสารซูโดอีเฟดรีน ซึ่งยาที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน ประเทศไทยอนุญาตให้ใช้ในโรงพยาบาลภายใต้การควบคุมกำกับ แม้จะไม่ใช่ชื่อการค้าเดียวกันกับที่แจ้งไว้ตามข่าวนี้ การนำออกนอกประเทศหากมีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน ก็ห้ามนำติดตัวไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยาสูตรแก้หวัดที่ส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางก็เป็นยาที่ต้องระวังในการนำติดตัวออกนอกประเทศ เพราะส่วนใหญ่ประเทศต่างๆจะห้ามนำยาที่มีส่วนผสมของสารที่กระตุ้นระบบประสาทเข้าประเทศ

“กลุ่มที่ 2 หมายเลข 2,3,10 เป็นยาที่ไม่มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย และ กลุ่มที่ 3 หมายเลข 11 คือ LOMOTIL ซึ่งเป็นกลุ่มยาแก้ท้องเสีย ประเทศไทยเพิ่งยกเลิกการขึ้นทะเบียนเมื่อปลายปีก่อน และมีสารที่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 3 คือสารไดเฟนอกไซเลต แม้ว่าจะยกเลิกการขึ้นทะเบียนแล้วแต่อาจยังคงเหลือในระบบ เช่น โรงพยาบาลอาจยังจ่ายยาให้ หรือ บางบ้านยังมีการใช้ยาตัวดังกล่าวอยู่ ฉะนั้น การนำยาออกนอกประเทศจึงต้องระวังด้วย และต้องอ่านฉลากยาในกรณีที่อาจมีสารไดเฟนอกไซเลต ผสมอยู่ในยาที่มีชื่อการค้าอื่นด้วย”ภก.ประพนธ์ กล่าว

ภก.ประพนธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการนำยาออกนอกประเทศนั้น ตามระเบียบสากลอนุญาตให้นำยาจำเป็นติดตัวได้ในปริมาณไม่เกิน 30 วัน ซึ่งการนำยาติดตัวไปมีวิธีที่แนะนำคือ 1 ไม่ควรแกะยาออกจากแผง เพราะจะมีชื่อยา คำแนะนำการใช้ยาที่ชัดเจน 2 หากมีใบสั่งแพทย์ให้นำใบสั่งแพทย์ติดตัวไว้ด้วย และ 3 หากเป็นกลุ่มยาต้องห้าม โดยเฉพาะยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับยาเสพติด หรือ ยาแก้ปวดชนิดรุนแรง ซึ่งส่วนใหญ่เป็น​ยาที่แพทย์จ่ายภายใต้การควบคุมอยู่ เช่น เมทาโดน มอร์ฟีน โคเดอีน ยากลุ่มน้ี กฎหมายอนุญาตให้นำออกนอกประเทศได้ แต่มีกฎระเบียบว่า ต้องขออนุญาตในการนำออกประเทศพร้อมทั้งมีใบสั่งแพทย์ที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม การเดินทางออกนอกประเทศนั้น แต่ละประเทศจะมีข้อห้ามในการนำยาเข้าที่ต่างกัน ควรตรวจสอบอีกครั้งในเว็ปไซต์ของทางการของประเทศนั้นๆ