เกร็ดความรู้สำหรับลดปัญหาผื่นผ้าอ้อม

 เกร็ดความรู้สำหรับลดปัญหาผื่นผ้าอ้อม

“ผิวหนัง” ของลูกน้อยเป็นอีกส่วนสำคัญที่บรรดาคุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากผิวหนังของเด็กเล็กนั้นมีความบอบบางมาก

“ผิวหนัง” ของลูกน้อยเป็นอีกส่วนสำคัญที่บรรดาคุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากผิวหนังของเด็กเล็กนั้นมีความบอบบางมาก หากสัมผัสกับสิ่งสกปรกหรือสารระคายเคืองต่างๆ ก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ เป็นผื่นแดงคัน หรือผดได้ โดยหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ลูกน้อยระคายเคืองผิวนั้น เกิดจากโรคผื่นผ้าอ้อมซึ่งพบเห็นบ่อยครั้งในหมู่เด็กทารกปัจจุบัน เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ยุคนี้นิยมให้ลูกใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเป็นประจำ

พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิดกล่าวว่า โรคผื่นผ้าอ้อมนั้น มักจะพบเห็นในเด็กวัยแรกเกิดระหว่าง 3- 24 เดือน เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่มีปัสสาวะและอุจจาระบ่อยเป็นพิเศษ จึงต้องสวมใส่ผ้าอ้อมตลอดเวลา นอกจากนี้เด็กทารกอายุระหว่าง 9-12 เดือน จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นผื่นผ้าอ้อมมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่เริ่มหัดนั่ง จึงทำให้ลูกน้อยนั่งทับผ้าอ้อมเปียกชื้นบ่อยครั้ง และผิวหนังมีโอกาสเสียดสีกับพื้นผิวสัมผัสที่อาจมีเชื้อโรคปะปนมา

สาเหตุหลักของการเป็นโรคผื่นผ้าอ้อม คือ เชื้อราในบริเวณผิวหนังที่สวมใส่ผ้าอ้อม ความอับชื้นหรือการหมักหมมของอุจจาระหรือปัสสาวะในบริเวณนั้นอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อรา ส่วนสาเหตุอื่นๆของผื่นผ้าอ้อม คือ อาการแพ้อาหาร โรคเลือดบางประเภท แพ้น้ำยาหรือสารเคมี เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือแพ้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด เช่น แป้งหรือโลชั่น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าระวังอาหารหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ลูกน้อยใช้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผื่นผ้าอ้อมหรือโรคผิวหนังอื่นๆ ได้

อาการของโรคผื่นผ้าอ้อมนั้นส่วนใหญ่รุนแรงไม่มาก คือ อาการคันและเกาจนผิวหนังอักเสบ ซึ่งส่งผลให้เกิดรอยผื่นแดงและผด หากอาการมีความรุนแรงปานกลาง ผื่นจะแดงมากขึ้น โดยจะมีขนาดและรอยถลอก กว้างขึ้น ในกรณีรุนแรงก็อาจมีผื่นแดงจัด เป็นตุ่มนูน ตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง รอยถลอกอาจขยายเป็นบริเวณกว้างไปที่ลำตัวหรือต้นขาด้านใน หรือกลายเป็นแผลลึกได้ ส่วนใหญ่แล้วผื่นผ้าอ้อมจะหายเองหลังจากมีการ ดูแลรักษาบริเวณผิวเป็นเวลาประมาณ 3-4 วัน แต่ถ้าหากอาการไม่บรรเทาลงภายในหนึ่งอาทิตย์ คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์

วิธีง่ายๆที่คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลและปกป้องผิวของลูกน้อยให้ห่างไกลจากโรคผื่นผ้าอ้อม คือ การเปลี่ยนผ้าอ้อมอย่างสม่ำเสมอตลอดวัน เพื่อป้องกันการอับชื้นและหมักหมมของเชื้อโรค เช่น แบคทีเรียใน อุจจาระ และเพิ่มความสบายตัวให้แก่ลูกน้อยไม่ให้เกิดอาการระคายเคืองตามตัว อีกหนึ่งวิธีคือการดูแลทำความสะอาดผิวของลูกน้อยหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อม โดยเฉพาะการใช้สำลีชุบน้ำหมาดๆทำความสะอาด ทุกซอกมุมเพื่อป้องกันเชื้อโรคจากปัสสาวะหรืออุจจาระที่ตกค้าง และซับบริเวณผื้นผิวในร่มผ้าให้แห้ง เพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้นหลังใส่ผ้าอ้อมใหม่ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกเสื้อผ้าให้ลูกน้อยที่ไม่แน่นคับ จนเกินไป เพื่อให้ลูกน้อยสวมใส่อย่างคล่องตัวและมีอากาศระบายถ่ายเท ทำให้ไม่อับชื้นและเสี่ยงต่อการติดเชื้อรา ในกรณีที่ลูกน้อยเป็นผื่นผ้าอ้อมติดต่อกันหลายครั้ง คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาเปลี่ยนยี่ห้อ ผ้าอ้อมสำเร็จรูป

พญ.สุธีรา กล่าวว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรละเลยการดูแลผิวของลูก โดยเฉพาะในวัยใส่ผ้าอ้อม เนื่องจากเด็กทุกคนมีอัตราเสี่ยงที่จะเป็นโรคผื่นผ้าอ้อมได้ วิธีที่ง่ายที่สุดในการปกป้องและดูแลผิวของลูกให้ห่างไกลจากผื่นผ้าอ้อม คือการทาครีมบำรุงหลังการเปลี่ยนผ้าอ้อมทุกครั้ง เพื่อเคลือบผิวไม่ให้เสียดสีกับผ้าอ้อมโดยตรง ป้องกันความเปียกชื้นจากปัสสาวะหรืออุจจาระที่หลงเหลือและอาจก่อให้เกิดผื่นผ้าอ้อมได้ นอกจากนี้การทาครีมเคลือบผิวยังช่วยให้ผิวหนังของลูกน้อยชุ่มชื้นและนุ่มนวลอยู่เสมอ ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงส่วนผสมหลักของครีมป้องกันที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะซิงค์ ออกไซด์ (Zinc Oxide) ซึ่งช่วยในกระบวนการซ่อมแซมผิวให้กลับสู่สภาวะสมดุล และ ลาโนลิน ไฮโปอัลเลอเจนิค (Lanolin Hyper-allergenic) ที่ช่วยลดการสูญเสียน้ำ ให้ความชุ่มชื้น และบรรเทาอาการระคายเคืองของผิว

ผลข้างเคียงของโรคผื่นผ้าอ้อมส่งผ ต่อพัฒนาการของเด็กเล็กการที่ลูกน้อยมีอาการระคายเคืองจากผื่นผ้าอ้อมหรือโรคผิวหนังอื่นๆ อาจทำให้เขานอนหลับไม่สนิทหรือไม่เต็มอิ่ม ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ได้ นอกจากนี้อาการเจ็บตามบริเวณที่สวมใส่ผ้าอ้อมเวลาที่นั่งทับ อาจทำให้ลูกน้อยไม่อยากหัดนั่ง ทำให้งอแงอยากให้อุ้มตลอดเวลา อาการเจ็บอาจทำให้ลูกอั้นอุจจาระปัสสาวะเพราะกลัวว่าจะเจ็บผิวหนังเวลาทำความสะอาด ทำให้มีปัญหาด้านการขับถ่ายเกิดภาวะท้องผูกเพราะอั้นไว้ หรือกลายเป็นเด็กกลัวการขับถ่าย หรือ หากอั้นปัสสาวะก็จะทำให้ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะตามมา ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรละเลยปัญหาโรคผื่นผ้าอ้อม เพราะนอกจากจะทำให้ลูกน้อยมีปัญหาทางสุขภาพแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและการเรียนรู้อีกด้วย