เทคนิคเลี้ยงลูกให้ฉลาด

เทคนิคเลี้ยงลูกให้ฉลาด

กรมสุขภาพจิต แนะเทคนิค เลี้ยงลูกให้ฉลาด หัวไว ของขวัญวันเด็กฯ 2559 พร้อมเปิดตัว แอพลิเคชั่น CAMHS-Aid

กรมสุขภาพจิต แนะเทคนิค เลี้ยงลูกให้ฉลาด หัวไว ของขวัญวันเด็กฯ 2559 พร้อมเปิดตัว แอพลิเคชั่น CAMHS-Aid

กรมสุขภาพจิต ได้จัดกิจกรรม “สวนสนุก...เพื่อเด็ก...คนพิเศษ” ที่ สถาบันราชานุกูล ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีให้กับเด็กๆ และผู้ปกครอง ภายใต้นโยบายของนายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต ที่ได้เห็นความสำคัญจากการสำรวจของกรมอนามัย ที่พบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์ครั้งแรกอายุครรภ์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 12 สัปดาห์ มีเพียงร้อยละ 57.3 ขณะที่ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน มีเพียงร้อยละ 29.5 รวมถึงพ่อแม่และผู้เลี้ยงดูเด็กขาดความรู้ ทักษะ ในการเลี้ยงดูเด็กที่ถูกต้อง และมีเพียงร้อยละ 20 ที่พ่อแม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้และการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าโรงเรียนของลูก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการเสริมสร้างความฉลาดของเด็กทั้งสิ้น นอกจากนี้ จากการสำรวจของกรมอนามัย ในปี 2542-2557 ก็ยังพบว่า เด็กที่พัฒนาการสงสัยล่าช้ามีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ

แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัยและกรมสุขภาพจิตได้พัฒนาการให้บริการในคลินิกเด็กดี ( Well Child Clinic) เพื่อให้เด็กปฐมวัยได้รับการคัดกรองและส่งเสริมพัฒนาการแล้วก็ตาม จากการดำเนินงานก็ยังพบว่า พ่อแม่/ผู้เลี้ยงดูซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กยังขาดความตระหนักและขาดความรู้ในการเลี้ยงดูเด็กอย่างเหมาะสม การเสริมสร้างพัฒนาการและความฉลาดให้กับลูกจึงเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องให้ความตระหนักและสนใจ ทั้งนี้ สามารถทำได้ที่บ้านโดยผ่านการเล่นและกิจวัตรประจำวัน

ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากหรือของเล่นราคาแพง แต่เป็นการที่เด็กได้เล่นกับพ่อแม่ซึ่งเป็นบุคคล สำคัญที่สุดของลูก ได้ฝึกทักษะต่างๆในระหว่างเล่น ได้เล่นในบรรยากาศที่สนุกสนานและอบอุ่น เพียงเท่านี้เด็กจะได้รับการส่งเสริมพัฒนาการทางสมองจากกิจกรรมที่เล่นและมีพัฒนาการทางอารมณ์และสังคม ที่ดีจากการได้ใช้เวลาที่ดีกับพ่อแม่ และเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปีนี้ กรมสุขภาพจิต ได้จัดทำองค์ความรู้“ลูกฉลาด หัวไว เพราะความใส่ใจของพ่อแม่”เป็นของขวัญพิเศษสำหรับคุณพ่อคุณแม่

โดยสามารถเข้าไป ดาวน์โหลดได้ที่ www.rajanukul.go.th และ www.prdmh.com รวมทั้ง ได้ร่วมมือกับ วิทยาลัยนานาชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พัฒนาแอพลิเคชั่น CAMHS-Aid ขึ้น เพื่อช่วย บุคลากรในสถานพยาบาลในการวินิจฉัยอาการทางจิตเวชในเด็กและวัยรุ่น พร้อมให้คำแนะนำพ่อแม่ผู้ปกครอง สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งในระบบ Android และ ios อีกด้วย

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้กล่าวภายหลังการเปิดงานว่า CAMHS Aid เป็น mobile application ที่พัฒนาขึ้นด้วยความร่วมมือระหว่าง กรมสุขภาพจิต โดย โรงพยาบาลจิตเวช นครราชสีมาราชนครินทร์สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมกับ บุคลากรในเขตสุขภาพที่ 9 (นครราชสีมา) และวิทยาลัยนานาชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง เพื่อช่วยบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยาในการวินิจฉัยและดูแลรักษาเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาสุขภาพจิตในหน่วยงานที่ไม่มีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาลชุมชน

ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นเพียง 200 คน ไม่เพียงพอกับการให้บริการเด็กวัยรุ่นกว่า 10 ล้านคน ทำให้เด็กที่มีปัญหาพฤติกรรม พัฒนาการและการเรียนรู้ จำนวนมากไม่ได้รับการรักษา โดยปัญหาที่พบบ่อยในโรงพยาบาลชุมชน มี 8 อาการ ด้วยกัน ได้แก่ 1) ซนอยู่ไม่นิ่ง 2) ไม่ยอมไปโรงเรียน 3) พัฒนาการช้า 4) เรียนช้า 5) การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น 6) พฤติกรรมเสี่ยงในวัยรุ่น 7) การทารุณกรรมในเด็ก
และ 8) อุปาทานหมู่ ทั้งนี้ แม้จะมีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เช่น โรคสมาธิสั้น ซึ่งมียาเพิ่มสมาธิ ช่วยให้เด็กเรียนและใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กทั่วไป กลับมีเด็กได้รับการดูแลรักษาไม่ถึงร้อยละ 5 เป็นความสูญเสีย โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาของเด็กๆกลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่ง หากเด็กกลุ่มนี้ได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้าน จะทำให้เข้าถึงบริการได้มากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม

สำหรับ แอพพลิเคชั่น CAMHS-Aid จะมีข้อคำถามให้เลือกตอบแบบ ใช่/ไม่ใช่ ไปเป็นลำดับขั้นจนได้การวินิจฉัยและแนวทางดูแลรักษา ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจของจิตแพทย์เด็ก พบว่า ช่วยวินิจฉัยโรค สมาธิสั้น ซึ่งเป็นปัญหาพฤติกรรมที่พบบ่อยในเด็กและวัยรุ่นได้ดี ตลอดจน มีแนวทางการติดตามการรักษาในกรณีที่ได้รับการวินิจฉัยโรคแล้ว 3 โรค ได้แก่ 1) โรคสมาธิสั้น 2) โรคออทิสติก และ 3) สติปัญญาบกพร่อง เพื่อให้สามารถติดตามการรักษาและส่งต่อพบผู้เชี่ยวชาญตามความเหมาะสม แม้ว่าแอพพลิเคชั่นนี้ จะไม่สามารถทดแทนการตรวจรักษาของจิตแพทย์เด็กได้ แต่ก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กและ วัยรุ่นที่มีปัญหา ได้รับการดูแลรักษาเบื้องต้นจากบุคลากรทางการแพทย์ ก่อนส่งต่อมาพบจิตแพทย์เด็กในกรณีที่เกินศักยภาพในการดูแล ในระยะต่อไป ทั้งนี้ มีแผนพัฒนาให้เป็นเวอร์ชั่นสำหรับผู้ปกครอง รวมถึง การแปลเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้นำไปใช้ได้แพร่หลายขึ้นในเขตเศรษฐกิจอาเซียน รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว