ทำหลายอย่างพร้อมกัน Multitasking ดีจริงหรือ?

ทำหลายอย่างพร้อมกัน Multitasking ดีจริงหรือ?

“ใครก็ตามที่สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัยในขณะที่จูบสาวสวยไปด้วยได้ แสดงว่าคนๆ นั้นไม่ได้ตั้งใจจูบจริงจังแน่” Albert Einstein เคยกล่าวไว้

คุณผู้อ่านลองลิสต์ดูสิคะว่า วันนี้ต้องทำอะไรบ้าง? หรือถ้าจะให้ตรงประเด็นมากกว่านี้ คือลองไปถามเพื่อนว่า ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ก็มักจะได้คำตอบแบบเดียวกัน หลายต่อหลายคนมักจะคิดว่า คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ “ทำเหมือนว่า” ยุ่ง อยู่ตลอดเวลา คำถามคือ จริงๆ แล้วสมองของเราสามารถแบ่งแยกการทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันได้จริงๆ หรือ?


Albert Einstein อัจฉริยะของโลกเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ใครก็ตามที่สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัยในขณะที่จูบสาวสวยไปด้วยได้ แสดงว่าคนๆ นั้นไม่ได้ตั้งใจจูบจริงจังแน่” คำกล่าวนี้เป็นตัวยืนยันถึงเรื่องของการตั้งใจจดจ่อได้ดีทีเดียว ในยุคสมัยที่ทุกอย่างดูรีบเร่งต้องทำงานแข่งกับเวลาอย่างนี้ ภาพที่เราเห็นจนชินตาเวลาใช้รถบนท้องถนนเมื่อตอนรถติดหรือรถกำลังแล่นไปช้าๆ ก็คือ คนบางคนเลือกจะกินอาหารเช้าไปด้วย ในขณะที่หญิงสาวอีกหลายคนกำลังแต่งหน้า หรือถ้าจะให้แย่ไปกว่านั้น ก็คือการพิมพ์ข้อความหรือการคุยโทรศัพท์ไปด้วย


ถึงแม้ว่า เรื่องของประสิทธิภาพของสมองเมื่อต้องใช้ทำงานหลายๆ อย่างเวลาเดียวกันนั้นจะยังเป็นเรื่องที่น่ากังขา เช่นเดียวกับไอเดียของคนส่วนใหญ่ที่คิดว่าตัวเองเป็นพวก “มีความสามารถทำหลายอย่างได้” โดยเฉพาะในหนุ่มสาวเจเนอเรชั่นนี้ที่โตมาพร้อมกับวีดิโอเกมส์ โทรศัพท์มือถือ และเครื่อง gadget ต่างๆ แล้วนั้น หารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้วงานวิจัยได้ระบุไว้ว่า คนที่ยิ่งทำอะไรหลายอย่างมากเท่าไร ประสิทธิภาพของทักษะก็จะน้อยลงมากเท่านั้น แต่ถ้าถามว่า แล้วคนที่มีความสามารถจริงๆ (ไม่ใช่แค่อ้างหรือคิดว่าตนมี) ในการทำหลายๆ อย่างพร้อมกันจะมีบ้างไหม จะว่าไปแล้วจากการทดสอบก็มีค่ะ แต่น้อยมาก


นทางทฤษฎีแล้ว การที่เราจะมีความตั้งใจจดจ่อในการทำอะไรสักอย่างหนึ่งก็หมายถึง เราต้องพุ่งความสนใจไปที่สิ่งนั้นเพียงอย่างเดียว ความตั้งใจในที่นี้โดยกระบวนการทำงานแล้วเป็นการขยายความสามารถบางอย่าง ในขณะที่ลดความสามารถอย่างอื่นๆ ลง


อาจมีคนเถียงว่า เราสามารถขับรถไปด้วยพร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปด้วยได้ แถมยังจดจำได้ดีว่าปลายสายพูดว่าอะไร แสดงว่าเราใช้ทักษะความสามารถทั้งในการขับรถและการตั้งใจฟังข้อมูลจากโทรศัพท์ด้วยไม่ใช่หรือ ในทางหลักการแล้ว ไม่ใช่เลย การที่เราขับรถเป็นการดึงระบบประสาทอัตโนมัติมาใช้ เป็นเพราะว่าเราจำได้ว่า ถ้าจะไปข้างหน้าก็แค่เหยียบคันเร่ง และถ้าจะหยุดก็แค่เหยียบเบรก จะว่าไปแทบไม่ได้ใช้ทักษะสำคัญอื่นๆ ด้วยซ้ำ ลองคิดในทางกลับกัน ถ้าเราขับรถพร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปสักพักพบว่า น้ำมันเต็มถนนทำให้รถเสียการทรงตัว คนส่วนใหญ่คงเลือกที่จะวางสายโทรศัพท์หรือไม่ก็คงฟังแบบไม่ตั้งใจ แล้วมาจดจ่อกับการขับรถแทน นั่นคือการเพิ่มขีดความสามารถของความตั้งใจไปยังสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากกว่าอีกสิ่งหนึ่งตามทฤษฎีนั่นเอง


ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา งานวิจัยจำนวนมากเชื่อมโยงถึงความสามารถของการประมวลผลของสมอง ในขณะที่ทำกิจกรรม 2 อย่างพร้อมกัน ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือการจับคลื่นสมองพร้อมกับความสามารถในการมองเห็นในขณะที่คุยโทรศัพท์ขณะขับรถ ผลที่ได้ก็คือ ความสามารถของเราแย่ลงอย่างรุนแรงเมื่อไรก็ตามที่เราทำอะไร 2 อย่างพร้อมๆ กัน ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้ว นักวิจัยจะพุ่งเป้าไปที่ทักษะการประมวลผลความคิดขั้นสูง แต่ก็กลับพบด้วยว่า กิจกรรมง่ายๆ เช่น การเดินไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วยหรือแม้แต่เคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วย ก็สามารถทำให้ประสิทธิภาพของความคิดลดลงเช่นเดียวกันค่ะ


คุณผู้อ่านอาจสงสัยว่า แล้วถ้าเป็นการคุยโทรศัพท์แบบแฮนด์ฟรีล่ะ จะพอช่วยได้หรือไม่ จากผลการทดลองพบว่า คนที่คุยโทรศัพท์ขณะขับรถไม่ว่าจะใช้มือจับโทรศัพท์หรือไม่ จะมีความสามารถทางการมองเห็นลดลงครึ่งหนึ่ง นั่นก็หมายถึง โอกาสที่จะไม่ทันสังเกตว่ามีวัตถุอะไรอยู่ด้านหน้าก็มีเพิ่มมากขึ้น และจากการสแกนสมองพบด้วยว่า การตอบสนองขณะที่คุยโทรศัพท์จะลดลงเกือบครึ่ง นั่นคือ ถ้ามีคนเดินตัดหน้ารถ กว่าจะสังเกตเห็นก็อาจอยู่ในระยะกระชั้นชิด รวมถึงความไวในการชะลอความเร็วก็จะลดลงอันเนื่องจากสมองทำงานช้าลง ในเรื่องเดียวกันงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2006 ก็คือ คนที่คุยโทรศัพท์ขณะขับรถจะเป็นพวกที่ขับรถได้แย่กว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกินที่กฎหมายกำหนดเสียอีก


ในปี 2009 Prof. David Sanbomnatsu จาก University of Utah ได้ทำการวิจัยกับกลุ่มตัวอย่าง 300 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือคนที่คิดว่าตัวเองสามารถทำหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน กับอีกกลุ่มคือคนที่ทำได้ทีละอย่างเท่านั้น พร้อมกับลองประเมินให้คะแนนตัวเองว่า ถ้าทำกิจกรรม 2 อย่างพร้อมกันแล้วจะได้คะแนนเท่าไร หลังจากนั้นเริ่มการวิจัยโดยจับเวลาระหว่างการทำกิจกรรม 2 อย่างนั่นคือ 1. ให้คนจำลิสต์ชื่อสิ่งของต่างๆ พร้อมกับ 2. ให้แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ในเวลาเดียวกัน ผลที่ได้ก็คือ คนที่คิดว่าตัวเองสามารถทำหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน กลับได้คะแนนน้อยกว่าและใช้เวลามากกว่าคนกลุ่มหลัง


เป็นที่น่าแปลกที่ในชีวิตจริง คนที่คิดว่าตัวเอง “มีความสามารถในการทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน” มีมากขึ้น และมองว่าเป็นจุดเด่นมากกว่าจุดด้อย ทั้งที่จริงแล้ว คนที่มีลักษณะดังกล่าวแล้วมักจะมีความสามารถของการทำงานของสมองส่วนของการประมวลผลในระดับต่ำ แต่ยังให้ค่าประสิทธิภาพของงานเหล่านั้นสูงเกินความเป็นจริง รวมถึงเป็นคนหุนหันพลันแล่นและถูกกระตุ้นง่าย หรือจะกล่าวในเข้าใจง่ายก็คือ ความสามารถที่คิดว่าตัวเองมีกับประสิทธิภาพของงานนั้นสวนทางกัน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาของ University of Bath ในอังกฤษกล่าวสรุปไว้ว่า การแบ่งความตั้งใจไปทำหลายๆ อย่าง จะเป็นการกีดขวางศักยภาพมากกว่าการส่งเสริม ดังนั้น การทำหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกันไม่ใช่เรื่องดีนั่นเอง ถึงตรงนี้เราจึงไม่พบว่า ไอสไตน์จะทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันเลยนั่นเอง
                (ผู้ปกครองที่มีบุตรหลาน(อายุ 3-7ปี) ที่เข้าข่ายมีภาวะสมาธิสั้นและสนใจเรื่องการบำบัดพฤติกรรม สามารถนัดเพื่อขอคำแนะนำและได้รับการประเมินเบื้องต้นได้ที่โทร. 0 2200 4029)

* บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ(กายใจ) ฉบับวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2559 เขียนโดย ดร.ปรียาสิริ มานะสันต์ วิฑูรชาติ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมายและความผิดปกติของการสื่อความหมาย