สอนลูกให้เป็น “อัจฉริยะ” เริ่มที่บ้านเราเอง

สอนลูกให้เป็น “อัจฉริยะ” เริ่มที่บ้านเราเอง

หนูดี วนิษา เรซ มีคำแนะนำให้กับพ่อแม่ที่เลือกโรงเรียนให้กับลูกน้อย ซึ่งสำคัญมากและมีผลต่อควมชอบ/ไม่ชอบไปโรงเรียนของเด็กในวัยที่โตขึ้นมา

* บทความนี้เผยแพร่โดย หนูดี วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการสมอง ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจกายใจ วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2559 

ใกล้เปิดเทอมแล้วสำหรับเด็กหลายๆ คน แต่สำหรับเบบี๋อีกหลายคนนี่เป็นช่วงสำคัญคืออาจจะเป็นเปิดเทอมครั้งแรกในชีวิตการศึกษาเลยทีเดียว พ่อแม่มือใหม่หลายคนใช้เวลาช่วงนี้ตระเวนดูโรงเรียนที่ชอบและเริ่มสมัครนักเรียนกันแล้ว ที่โรงเรียนวนิษาของหนูดีเองก็มีพ่อแม่อุ้มน้องเบบี๋ฝ่าเปลวแดดกรุงเทพฯ​มาเยี่ยมชมโรงเรียนมากมาย ต้องขอชมว่าน้องเบบี๋นี่สู้แดดกันมากไม่มีกลัวเลย แถมพอเห็นสระน้ำ สนามหญ้าก็จะเล่นกันใหญ่ เกิดเป็นเด็กนี่ดีจริงๆ ค่ะ ชีวิตดี๊ดีไม่ต้องกลัวแดดกลัวดำอะไร


พอพูดถึงเปิดเทอมก็เลยอยากแชร์กับพ่อแม่ว่าเราควรสอนอะไรลูกบ้างที่บ้านให้เด็กได้พัฒนาดีที่สุด และขอแถมทิปส์วันเปิดเทอมว่า ทำป้ายกระดาษเล็กๆ น่ารักขนาดพอลูกถือได้เป็นคำว่า “First Day of School!” หรือ “เปิดเทอมวันแรกของหนู” (ผม) แล้วเอาไปให้ลูกถือก่อนเดินเข้าโรงเรียนเช้าวันแรกในชีวิตของเขาก็ดีนะคะ ตอนโตๆ เขาจะได้มีภาพน่ารักๆ เก็บไว้ดู (หรือจะเอาไว้ใช้ใน VDO พรีเซนเตชั่นวันแต่งงานของเขาก็ได้นะ ...คุณครูคิดไกลไปไหมคะนี่) และอย่ากลัวเรื่องลูกร้องไห้นะคะ ถ้าไปโรงเรียนแล้วสนุกเดี๋ยวประมาณไม่เกินสองสัปดาห์รับรองหยุดร้องไห้เป็นปลิดทิ้ง มีแต่จะอยากรีบไปโรงเรียนไปเล่นกับเพื่อนกับคุณครู


การเริ่มต้นพัฒนาอัจฉริยภาพในเด็กต้องเริ่มในบ้านและเราเลือกโรงเรียนที่เสริมพัฒนาการให้เขาก้าวไปในรูปแบบที่ไม่ขัดกับสิ่งที่เราวางรากฐานเอาไว้ การพัฒนาต้องต่อเนื่องทั้งบ้านและโรงเรียน หากเราไม่แน่ใจว่า...สอนอย่างไรดีเพราะเราเองอาจไม่ได้จบครุศาสตร์เหมือนคุณครูของลูก ก็สอบถามเลยค่ะว่าเขาสอนอย่างไรจะได้สานต่อที่บ้านในแนวทางเดียวกัน
สำหรับโรงเรียนของหนูดีนั้น ทุกอย่างต้องทำตามหลักพัฒนาการสมองเด็กท่ีมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยรองรับเท่านั้น เพราะหลักทฤษฎีเกี่ยวกับเด็กๆ นั้นดีก็จริงแต่เราต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูลวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ เกี่ยวกับสมองให้มากที่สุด


งานวิจัยทางสมองเด็กได้ให้แนวทางการสอนเบบี๋ไว้มากมาย หนูดีขอยกตัวอย่างมาให้พ่อแม่เลือกดูโรงเรียนแบบจำง่ายๆ ดังนี้ค่ะ

- สภาพแวดล้อมในโรงเรียนต้องมีความปลอดภัยทั้งทางอารมณ์คือ เด็กต้องไม่หวาดกลัวครูผู้สอน และสภาพทางกายภาพ เช่น ห้องเรียน สระว่ายน้ำ สนามเด็กเล่น มีความปลอดภัยต่อร่างกายเด็ก ไม่เกิดอันตรายทั้งทางร่างกายและจิตใจ เด็กรู้สึกปลอดภัย มีความเป็นมิตร เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นตลอดเวลาที่ใช้ในโรงเรียน


- การเรียนรู้เป็นไปในลักษณะ Relaxed-Alertness หรือ “ผ่อนคลายแต่ตื่นตัว”​ซึ่งเป็นสภาพที่สมองทำงานได้ดีที่สุด นั่นคือผ่อนคลายเพราะปราศจากความกลัว ไม่มีการดุหรือขู่เด็กที่รุนแรง ไม่มีการหรือการลงโทษที่ทำให้อับอาย ประจาน เด็กจึงรู้สึกสบายใจ เมื่อใจสบายแล้ว สมองจะปล่อยพลังงานที่เหลือให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ด้วยความตื่นตัวและมีความสุข


- การเรียนรู้ทางวิชาการด้านต่างๆ ต้องทำให้เหมาะสมกับวัย นั่นก็คือ เด็กไม่ถูกบังคับให้นั่งนิ่งๆ กับที่แล้วให้เขียนตัวอักษรสวยงาม เพราะกล้ามเนื้อนิ้วมือของเด็กวัยเล็กยังไม่พร้อม แต่เด็กในวัยก่อนหกปีจะต้องได้พัฒนากล้ามเนื้อมือด้วยการเล่นเพลโด วาดภาพอิสระ ออกกำลัง ฯลฯ จนเมื่อกล้ามเนื้อพร้อมจึงจะเริ่มเขียนอักษรโดยเด็กจะเริ่มเขียนเล่นๆ ไม่มีการบังคับเมื่อวัยประมาณสองปี และค่อยๆพัฒนาตามวัยจนหกปีจะเริ่มสวยงามตามมาตรฐานทั่วไป


- สมองเด็กแต่ละก้อนมีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราจึงควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เป็นตัวของตัวเองโดยไม่บังคับให้เด็กทุกคนต้องเหมือนกันตลอดเวลา
การมีวินัยและมีกฏระเบียบที่ยุติธรรมเป็นสิ่งที่ช่วยให้สมองของเด็กผ่อนคลายและทำงานได้เป็นอย่างดี โรงเรียนจึงมีเวลาเรียนและตารางที่เด็กๆ จำได้และสนุก รวมถึงกติกาการอยู่ร่วมกันเพื่อช่วยให้เด็กทุกคนมีความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและอารมณ์​สภาพแวดล้อมเช่นนี้จะช่วยให้สมองของเด็กทำงานได้ดีที่สุด


นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับพัฒนาการทางสมองของเด็กซึ่งมาจากความก้าวหน้าในวงการวิทยาศาสตร์สมองในปัจจุบันซึ่งหากเราต้องการจะสอนลูกที่บ้าน ก็อาจหยิบยกลักษณะบางส่วนของโรงเรียนมาได้นะคะ เพราะโรงเรียนจะได้เปรียบที่มีเวลา/ตารางสอน/วินัยที่ชัดเจน เด็กๆทำตามได้ง่ายจนเกิดความเคยชินและกลายเป็นวินัยในตัวเด็กๆไปด้วย ตรงนี้ มีประโยชน์หากพ่อแม่เลือกนำมาทำตามค่ะ


นอกจากงานวิจัยที่ทันสมัยเกี่ยวกับสมองเด็กแล้ว หนูดีก็ขอแนะนำให้ใช้ทฤษฎีอัจฉริยภาพหลายประการ โดย ดร.โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ มาเป็นแนวทางในการจัดการสอนลูกๆด้วยค่ะ ข้อมูลก็ตามหนังสือ “อัจฉริยะสร้างได้” เล่มแรกที่หนูดีเขียนเพราะข้อดีของทฤษฎีนี้คือ เป็นทฤษฎีแรกๆ ของโลกที่บอกว่า “มนุษย์ทุกคนมีอัจฉริยภาพครบอยู่แล้วในตัว และเรามีหน้าที่ทำให้อัจฉริยภาพเหล่านี้ได้แสดงตัวออกมาตามธรรมชาติที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”


ซึ่งอัจฉริยภาพทั้ง 8 ด้านนั้น นอกจากด้าน ภาษาและการสื่อสาร และคณิตตรรกะแล้ว ยังมีอัจฉริยภาพชนิดอื่นๆ อีก 6 ด้าน ที่จำเป็นมากสำหรับ “การใช้ชีวิตที่ครบสมบูรณ์”​ที่โรงเรียนและบ้านต้องปลูกฝังเช่นกัน นั่นก็คือ อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง ด้านการเข้าใจผู้อื่น ด้านดนตรี ด้านการเข้าใจธรรมชาติ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว และด้านมิติสัมพันธ์
ทั้งหมดนี้ เราเริ่มสร้างได้อย่างง่ายๆในขอบเขตบ้านของเราเอง หากใครต้องการอ่านเพิ่มเติม หรือดูภาพ ดูคลิปประกอบ สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลได้เลยค่ะ ที่เว็บของหนูดี www.vanessa.ac.th ซึ่งได้แชร์ไว้ให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ คลิปทั้งหมดถ่ายทำในโรงเรียนของหนูดีซึ่งเป็นเด็กนักเรียนจริงๆ ชีวิตจริงๆ ดูแล้วเพลินแถมได้ความรู้ค่ะ

ถือโอกาสนี้อวยพรให้เด็กๆ ทุกคนมีเปิดเทอมใหม่ที่สดใส มีสมองที่ดี พร้อมรับข้อมูลดีๆ สำหรับใช้สร้างอัจฉริยภาพในตัวเองต่อไปค่ะ