เท้าบวม-เหนื่อยหอบ ส่อแวว‘หัวใจล้มเหลว’
เมื่อหัวใจทำงานผิดปกติทำให้เกิด ‘ภาวะหัวใจล้มเหลว’ การสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอส่งผลร้าย อาจอันตรายถึงชีวิต
หัวใจล้มเหลวเป็นกลุ่มอาการหรือภาวะที่หัวใจทำงานบีบหรือคลายตัวผิดไปจากปกติ เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น กล้ามเนื้อหัวใจบาดเจ็บ โรคเกี่ยวกับเส้นเลือดหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง คลอเลสเตอรอลสูง แอลกอฮอล์ ยาเสพติดหรืออื่นๆ
ศ.นพ.รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ ประธานชมรมหัวใจล้มเหลวแห่งประเทศไทย และแพทย์ประจำโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า 1% ของประชากรโลกต้องทุกข์ทรมานกับภาวะหัวใจล้มเหลว ในขณะที่ไทยก็มีอุบัติการราว 1% ของประชากรเช่นกัน ภาวะนี้เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่ามะเร็งบางชนิด อาทิ มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม 2-3 เท่า และเมื่อติดตามภายใน 1 ปีพบอัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 20-30% ของผู้ป่วย
“อาการที่พบบ่อยสุดคือ เหนื่อยง่ายกว่าปกติ อ่อนเพลีย ขาบวม ช่วงกลางคืนไม่สามารถนอนราบได้จะหายใจติดขัด หายใจไม่เต็มปอดต้องนอนหมอนสูง หากพบอาการเหล่านี้ต้องรีบมาพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ”
ภาวะหัวใจล้มเหลวทำให้ร่างกายอ่อนแอ และมีโอกาสที่จะเกิดอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้อย่างเพียงพอ อาจเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจที่อ่อนแรงจนทำหน้าที่สูบฉีดเลือดได้ไม่ดี หรือกล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัวเป็นเวลานาน
ปัจจัยที่ส่งผลให้ตัวโรครุนแรงขึ้น มีทั้งปัจจัยภายใน คือ ตัวโรคที่เป็นมากขึ้นทั้งหลอดเลือดหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ ตัวโรคแทรกซ้อนที่ทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น เช่น โลหิตจาง โรคไต หรือปัจจัยภายนอกที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ป่วยเอง ไม่ว่าจะเป็นความไม่สม่ำเสมอในการกินยา การกินอาหารรสเค็มหรือยาบางชนิดที่ทำให้เกิดภาวะเกลือและน้ำคั่งในร่างกาย ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และที่สำคัญคือ อารมณ์หรือความเครียด รวมถึงการพักผ่อนน้อย ก็มีผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น หากมีอาการดังต่อไปนี้ คือ ขาบวมจากภาวะน้ำคั่งที่ขา, กินข้าวไม่ได้ อาเจียนจากภาวะน้ำคั่งในตับ, เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้จากภาวะน้ำคั่งในปอด และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 กิโลกรัมภายใน 2 วันควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการ
“แพทย์จะตรวจจากอาการที่พบดังข้างต้น ร่วมกับการตรวจร่างกายเพื่อดูภาวะน้ำคั่งในร่างกาย จากการบวมในที่ต่างๆ แล้วจึงตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น เอกซเรย์ ก่อนจะประเมินว่า ภาวะหัวใจล้มเหลวนี้เกิดจากสาเหตุใด เพื่อทำการรักษาต่อไป” คุณหมอกล่าว