‘เมธ เฮ้งตระกูล’ ร่ายมนต์มหาเสน่ห์เครื่องหนัง
"เมธ เฮ้งตระกูล" ทายาทโรงงานผลิตเครื่องหนังส่งออกให้กับแบรนด์ไทยและแบรนด์ชั้นนำ สั่งสมความรู้มาจากธุรกิจครอบครัวขยับสู่เครื่องหนังระดับอินเตอร์ที่กำลังไปได้สวยทีเดียวในชื่อ “เมธธีค” (Mettique)
“ผมอยากทำสินค้าเครื่องหนังที่มีคุณภาพสูง ให้คนรักหนังได้ใช้กัน” เจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของ “เมธ เฮ้งตระกูล” ทายาทโรงงานผลิตเครื่องหนังส่งออกให้กับแบรนด์ไทยและแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง แอร์เมส หลุยส์วิตตองและซัลวาตอเร แฟร์รากาโม ซึมซับความชอบและปลูกฝังความชำนาญมาตั้งแต่เยาว์วัย ตัดสินใจสร้างลักชัวรี่แบรนด์ “เมธธีค” (Mettique) ที่กำลังเป็นที่รู้จักในหมู่คนรักเครื่องหนังระดับอินเตอร์
หลังจากลาออกจากงานประจำที่บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งในตำแหน่งแบรนด์เมเนเจอร์ 2 ปี ซึ่งดูแลเรื่องวางนโยบายแบรนดิ้งและภาพลักษณ์ต่างๆ ในทุกๆ ด้านขององค์กร แม้จะเป็นงานที่สนุกเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้วิชาที่เรียนมา แต่ในระหว่างที่ทำงานประจำ ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่า อยากมีแบรนด์ของตัวเอง จึงเริ่มวางแผนคัดสรรวัตถุดิบและช่างผู้เชี่ยวชาญมาช่วยสร้างผลิตภัณฑ์เครื่องหนังพรีเมียมระดับโลก แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้เขาต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อให้ได้รับการอนุมัติจากครอบครัว
๐ DNA ของคนทำหนัง
ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวเฮ้งตระกูล เมธหรือที่คนในครอบครัวเรียกกันว่า “นิว” จึงมีภาระหน้าที่ความรับผิดชอบสูงตั้งแต่เด็ก ส่วนหนึ่งติดมาจากการได้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศนานถึง 10 ปี หลังจากเรียนจบโรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี ก็ไปเรียนต่อไฮสคูล ที่โรงเรียนเชอร์บอร์น ประเทศอังกฤษ และสำเร็จระดับปริญญาตรี สาขาชีววิทยา ที่ Rollins College ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วงนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต จากเดิมที่เขามีความฝันอยากจะเรียนต่อเป็นทันตแพทย์ แต่หลังจากศึกษาข้อมูลพบว่า ต้องใช้เวลาเรียนนานจึงเบนเข็มมาด้านธุรกิจที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างนั้นก็ได้ไปเทคคอร์สเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จที่สหรัฐอเมริกามาอีกหนึ่งคอร์ส
“ส่วนตัวผมเป็นคนชอบงานศิลปะ แต่ก็ชอบเรียนวิทยาศาสตร์ด้วย จึงคิดว่าน่าจะเป็นทันตแพทย์แต่ตอนหลังย้ายไปเรียนสหรัฐอเมริกา ระบบการเรียนแพทย์ที่อเมริกากับอังกฤษไม่เหมือนกัน ที่อังกฤษเรียนจบไฮสคูลแล้วไปเรียนต่อ 5 ปีก็จบแพทย์ แต่ที่อเมริกาต้องไปเรียนปริญญาตรีอะไรก็ได้ 4 ปี แล้วค่อยไปเข้าโรงเรียนแพทย์อีก 4 ปี กลายเป็น 8 ปี จึงตัดสินใจเรียนปริญญาตรีด้านชีววิทยาไปก่อน แต่เมื่อขอคำแนะนำจากคุณพ่อคุณแม่ ก็ได้รับคำแนะนำให้เรียนด้านธุรกิจที่สามารถประยุกต์ได้หลายอย่าง จึงตัดสินใจกลับมาเรียนต่อปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจที่ศศินทร์ ทำให้ได้เพื่อนและคอนเนคชั่นไปด้วย”
เมธ บอกว่า ตั้งแต่เล็กจนโตคุณพ่อคุณแม่(สุเทพ-ณัฐรา) ไม่เคยบังคับให้กลับมาทำธุรกิจครอบครัว แต่การทำผลิตภัณฑ์เครื่องหนังเมธธีค เสมือนเป็นการเพิ่มไลน์การผลิต โดยใช้กระบวนการผลิตของโรงงาน เริ่มจากดึงช่างเข้ามาช่วย แต่ระยะหลังเมื่อธุรกิจไปได้ก็เริ่มคัดเลือกพนักงานเข้ามาอยู่ในทีม พร้อมทั้งผลิตเคสหนังวัวใส่โทรศัพท์มือถือ ต่อมาก็ทำกล่องหนังใส่ซิการ์ ตั้งราคาจำหน่าย 3,300-8,000 บาทตามขนาดชิ้นงาน สินค้าทั้งสองตัวได้รับความสนใจอย่างมาก ทั้งที่ยังไม่ได้ทำมาร์เก็ตติ้ง
“ช่วงแรกคุณพ่อจะเป็นห่วง เพราะธุรกิจรีเทลมีรายละเอียดเยอะจนปวดหัว กว่าจะขายได้แต่ละชิ้นต้องทำมาร์เก็ตติ้ง มีต้นทุนโน่นนี่นั่น ผิดกับการรับจ้างผลิตหรือโออีเอ็มจะได้เงินเป็นก้อน รายละเอียดไม่มาก แต่ผมมีความตั้งใจ ทำด้วยใจรักและมองเห็นโอกาสในอนาคต สินค้าที่ผมทำมีมาร์จิ้นมากกว่าโออีเอ็ม 3-4 เท่าตัว เพราะสินค้าเราเป็นการสร้างมูลค่าด้วยงานทำมือ เสมือนเป็นงานศิลปะ แม้ว่ากำไรต่อชิ้นดีแต่จำนวนการผลิตต่ำเมื่อเทียบกับการทำโออีเอ็ม”
เมื่อก้าวมาทำธุรกิจของตัวเอง เขาทำคนเดียวตั้งแต่ศูนย์ถึงสิบ ในมุมมองของเมธ “เมธธีค” ในตลาดไทยเริ่มอิ่มตัว เนื่องจากเป็นสินค้าที่อยู่ในตลาดนิช ที่แม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็มีศักยภาพสูง จึงวางแผนขยายไปประเทศที่มีกำลังซื้อและพฤติกรรมการซื้อที่ไม่ยึดติดกับแบรนด์เนมเหมือนกับผู้บริโภคไทย แต่จะให้ความสนใจเรื่องคุณภาพและดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์มากกว่าโลโก้สินค้า
“ในการทำธุรกิจ ถ้าจะให้ประสบความสำเร็จ เราต้องศึกษาจริง รู้จริง ต้องคิดเสมอว่า ลูกค้าที่เข้ามานั้นมีความรู้ เพราะฉะนั้น เราและพนักงานก็ต้องมีความรู้ในเรื่องสินค้าเป็นอย่างดี สามารถให้คำแนะนำได้”
๐ การเดินทางสร้างพลัง
แม้งานจะหนักตลอดทั้ง 7 วัน เขาพยายามจัดแบ่งเวลาให้กับการออกกำลัง โดยทุกวันจันทร์ อังคาร พฤหัสบดี เวลาประมาณ 19-21 น.จะเล่นเทนนิส ส่วนวันเสาร์อาทิตย์จะไปยิม เข้าคลาสเล่นเวท ใช้เวลาในการออกกำลังกายต่อครั้ง 1-2 ชั่วโมง
"ออกกำลังกายเหมือนเป็นยาเสพติดอย่างหนึ่งสำหรับผม เพราะเล่นมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยหยุดออกกำลังกายเลย ทุกวันนี้ยังคงเล่นอยู่ เล่นเทนนิส เข้ายิม ส่วนว่ายน้ำไม่ค่อยได้ว่ายแล้วเพราะรู้สึกว่าน่าเบื่อ 1 ชั่วโมงว่ายไปกลับเหมือนกับวิ่งบนลู่วิ่ง สำหรับผมการออกกำลังกายเหมือนบังคับตนเอง
นอกจากนี้ ความสุขของเมธอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเปิดรับมุมมองความคิดใหม่ๆ ในประเทศต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นประเทศที่หรูหรา เขาเชื่อว่า สิ่งที่ทำให้เป็นได้ทุกวันนี้เพราะมีโอกาสได้ไปเปิดหูเปิดตาในต่างประเทศ ทำให้เห็นวัฒนธรรมความแตกต่างในแต่ละประเทศ เกิดไอเดียใหม่ๆ ตลอดเวลา การเดินทางจึงเป็นประสบการณ์ที่ดี ซึ่งไม่สามารถหาซื้อได้ ทุกปีจึงตั้งเป้าว่าจะไปเที่ยวปีละ 2 ครั้ง ในช่วงสงกรานต์และช่วงปลายปี โดยใช้เวลาทริปละ 2 สัปดาห์ ล่าสุดก็เพิ่งกลับมาจากเนปาล
เมธเป็นคนชอบเดินทาง และย้ำบ่อยๆ ว่าชอบมากและดีกรีความชอบพุ่งขึ้นอีกตั้งแต่มาทำงานก็รู้สึกว่าอยากเดินทางมากขึ้น สิ่งที่เขาเรียนรู้จากการเดินทางคือ ได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่เปลี่ยนความคิดของเขาไปเรื่อยๆ เหมือนว่าความรู้สึกนึกคิดได้โตขึ้นจากการเดินทางแต่ละครั้ง
“ผมเดินทางโดยไม่ต้องซื้ออะไรเลยนะครับ คือเดินทางไปเที่ยวไปกิน แค่นี้ก็มีความสุขมาก” สไตล์การเดินทางเก็บเกี่ยวความสุขของ “เมธ” ชายที่หลงรักเครื่องหนัง