จากงานวิจัยสู่แนวทางอนุรักษ์พะยูนของชุมชนเกาะลิบง
การลดลงของพะยูน กลายเป็นแรงบันดาลใจของคนในชุมชนเกาะลิบงที่เห็นความสำคัญในการอนุรักษ์พะยูนสัตว์ทะเลหายากที่ใกล้สูญพันธุ์ ได้รวมตัวกันตั้งกลุ่มอาสาพิทักษ์ดุหยงขึ้น
สถานการณ์พะยูนไทย เริ่มกลับมาวิกฤติหลังพบพะยูนตายเพิ่มขึ้น โดยประมาณการว่าทั้งประเทศไทยมีพะยูนเหลืออยู่ไม่ถึง 200 ตัว แต่ในช่วงเวลาเพียง 9 เดือนตั้งแต่ต้นปี 2562 ที่ผ่านมา มีพะยูนตายไปแล้วถึง 21 ตัว รวมถึงการตายของพะยูนน้อย “มาเรียม และยามีล”และยังคงมีข่าวการตายของพะยูนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดข่าวการพบซากพะยูนเกยตื้นบริเวณชายหาดที่เกาะลิบง โดยกระดูกและกล้ามเนื้อบางส่วนของพะยูนสูญหายไป
การลดลงของพะยูน กลายเป็นแรงบันดาลใจของคนในชุมชนเกาะลิบงที่เห็นความสำคัญในการอนุรักษ์พะยูนสัตว์ทะเลหายากที่ใกล้สูญพันธุ์ ได้รวมตัวกันตั้งกลุ่มอาสาพิทักษ์ดุหยงขึ้น
สุเทพ ขันชัย หรือ “บังเทพ” หัวหน้าทีมอาสาพิทักษ์ดุหยง ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง กล่าวว่า “พะยูนและหญ้าทะเล เป็นของดีและเป็นที่ภาคภูมิใจของเกาะลิบง แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับพะยูนขณะนี้ทำอย่างไรที่จะลดการตายของพะยูนและจะรักษาหญ้าทะเลได้ เป็นเรื่องที่คนในชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลและปกป้องพะยูน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของชุมชนดีขึ้น เพราะอาชีพหลักของคนที่นี่ คือ กรีดยางและทำประมง แต่ราคายางถูก รายได้ไม่ค่อยแน่นอน จึงต้องหารายได้จากแหล่งอื่นเข้ามา ซึ่งก็คือการท่องเที่ยว ถ้าชุมชนช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ดี ช่วยกันอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเล เชื่อว่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น”
ทีมอาสาพิทักษ์ดุหยงเกิดขึ้นจากการทำโครงการ “วิจัยแนวทางการอนุรักษ์พะยูนโดยชุมชนเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ตั้งแต่ปี 2558 หลังพบสาเหตุที่ทำให้พะยูนและหญ้าทะเลลดลง ส่วนใหญ่เกิดจากเครื่องมือประมง จึงเป็นจุดเริ่มต้นการทำกิจกรรมของโครงการฯ เริ่มจากการสำรวจความคิดเห็นของคนในชุมชนเกาะลิบงที่มีต่อพะยูน และการสำรวจเครื่องมือการทำประมงที่มีอยู่ในชุมชน
'บังเทพ' ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยฯ บอกว่า จากการสำรวจชาวบ้านส่วนใหญ่ มีความรักความผูกพันกับพะยูน และเห็นด้วยที่จะช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายาก เช่น บ่อยครั้งที่ชาวบ้านไปพบเห็นพะยูนกินหญ้าเพลินจนกลับลงน้ำไม่ทันหรือถูกคลื่นพัดมาเข้ามาเกยตื้นก็จะช่วยกันพาพะยูนลงน้ำ ส่วนการสำรวจเครื่องมือการทำประมงของชุมชนนั้นก็เพื่อต้องการรู้ว่าในชุมชนมีเครื่องมือประมงอะไรบ้างที่จะสามารถไปทำอันตรายต่อพะยูน เต่า หรือโลมา ซึ่งก็ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากชุมชนแม้จะมีอุปสรรคในช่วงแรก เนื่องจากชาวบ้านกลัวจะไปกระทบวิถีชีวิตการทำมากิน แต่เมื่อทำความเข้าใจกับชาวบ้านแล้วว่ายังหากินได้ตามปกติ เป็นการขอความร่วมมือเรื่องเครื่องมือทำประมงที่ไม่ผิดกฎหมาย และต้องไม่ทำอันตรายกับพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก หากพบเห็นก็จะทำการกู้เก็บขึ้นมา เนื่องจากเคยเดินลาดตระเวนแล้วไปพบเจอเต่าตายเพราะติดอวน เมื่อสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านแล้ว จึงนำมาสู่การจัดตั้งกติกาชุมชน
“ยอมรับว่า ชาวบ้านยังมีความเชื่อผิดๆ ในเรื่องของกระดูกพะยูน จึงต้องสร้างจิตสำนึกให้ชุมชนตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากร พะยูนและสัตว์ทะเลหายากว่า ถ้าเราอยากให้พะยูนอยู่คู่กับเกาะลิบง เราทุกคนในชุมชนก็จะต้องรักพะยูนด้วย เพราะเป้าหมายคือ ให้พะยูนอยู่ร่วมกับคนได้ และอยากให้ชุมชนของเราเป็นชุมชนเข้มแข็งรักเรื่องของทรัพยากร ถ้าเราจะเป็นชุมชนเข้มแข็งเราก็ต้องเหนื่อยกันหน่อยต้องกล้าสู้ชุมชนเราจึงจะเข้มแข็งได้นั่นหมายถึงเรื่องของความสามัคคี”
สำหรับการทำงานวิจัยนี้ ได้นำกระบวนการวิจัยท้องถิ่นเข้ามาขับเคลื่อนในชุมชน หลังจากทำการสำรวจเก็บข้อมูลชุมชนแล้ว นำมาสู่การจัดทำเวทีประชาคมเพื่อร่วมกันกำหนดกติกาชุมชน ในการที่จะดูแลพะยูนให้อยู่ร่วมกับคนได้และร่วมกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนกันอย่างไร จึงเกิดเป็นกติกาชุมชนขึ้น
บังเทพ กล่าวว่า จากการลาดตระเวนเรามักพบเรือประมงต่างถิ่นลักลอบเข้ามาในพื้นที่บ่อยๆ ดังนั้น เมื่อเรามีการขับเคลื่อนกันภายในชุมชน เรามีกติกาชุมชนเกิดขึ้นแล้ว ต่อไปก็จะขอความร่วมมือไปยังชุมชนนอกเกาะลิบง พร้อมเดินสายชี้แจงทำความเข้าใจกับชุมชนพื้นที่อื่นๆ รอบเกาะ ให้รับทราบว่า ปัจจุบันเกาะลิบงมีกติกาชุมชนเกี่ยวกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่รอบ หากเข้ามาในพื้นที่รอบเกาะลิบง จะต้องปฏิบัติตามกฎกติกาของชุมชนอย่างไร เช่น เรือที่จะเข้ามาในพื้นที่จะต้องชะลอความเร็ว เพราะเกาะลิบงเป็นที่ที่อยู่ของพะยูนอยู่ และขอความร่วมมือกับเรือประมงต่างถิ่นในการใช้เครื่องมือทำประมงจะต้องไม่ผิดกฎหมายและทำให้เกิดอันตรายกับสัตว์ทะเลหายาก ทั้งพะยูน เต่า รวมถึงไม่ไปทำลายหญ้าทะเล เราเน้นใช้วิธีการขอความร่วมมือ หากไม่ฟังหรือทำผิดกติกาชุมชน ก็จะใช้เรื่องของกฎหมายต่อไป
ส่วนกิจกรรมภายใต้โครงการฯ ยังรวมถึงการฟื้นฟูหญ้าทะเล ที่จะส่งผลให้จำนวนพะยูนเพิ่มขึ้นและอยู่คู่กับเกาะลิบงต่อไป เนื่องจากพื้นที่รอบเกาะลิบงมีหญ้าทะเลที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะแนวหญ้าทะเลบริเวณหน้าหาดทุ่งจีน ซึ่งเป็นหญ้าทะเลชนิดที่พะยูนกิน นอกจากการจัดกิจกรรมลาดตระเวนและเก็บขยะเพื่อฟื้นฟูแนวหญ้าทะเลแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมคือ การสำรวจหญ้าทะเล โดยทุก ๆ 3 เดือน จะมีการวางผังแปลงหญ้าทะเล เพื่อเก็บข้อมูลก่อนและหลัง เพื่อหาสาเหตุหรือปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการลดลงหรือเพิ่มขึ้นของหญ้าทะเล รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณแนวหญ้าทะเล เพื่อนำไปสู่การหาแนวทางแก้ไขป้องกันต่อไป ซึ่งกิจกรรมนี้นอกจากจิตอาสาแล้ว มีกลุ่มเด็กเยาวชนในชุมชนที่มีใจรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเข้าร่วมซึ่งจะทำให้มีผู้สืบทอดและสืบสานงานอนุรักษ์พะยูนและหญ้าทะเลของเกาะลิบงต่อไป
“หญ้าทะเลมีรูปแบบที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ เราทำได้เพียงดูแลป้องกัน อย่าให้ใครมาทำลาย ไม่เฉพาะหญ้าทะเลชนิดที่พะยูนกิน แต่หญ้าทะเลอื่นๆ ก็มีคุณค่า เช่น หญ้าคาก็มีประโยชน์เป็นที่พักอาศัยของสัตว์ทะเลขนาดเล็กอื่นๆ ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ได้ ดังนั้น เมื่อเราจะเป็นหมู่บ้านต้นแบบในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เราต้องมีใจรักถึงแม้วันหนึ่งเราจะไม่มีทุนสนับสนุนจากหน่วยงานใด แต่เราก็จะต้องทำได้ และจะต้องทำเป็นประจำ เพราะมันมีความหมาย และความหวังของชุมชนที่จะนำมาซึ่งมีรายได้ที่ดีขึ้นจากการท่องเที่ยวและยังสามารถเป็นแบบอย่างให้กับชุมชนอื่นๆรอบเกาะถ้าชุมชนเราเข้มแข็งได้เช่นนี้” บังเทพ หัวหน้าทีมอาสาพิทักษ์ดุหยงกล่าวถึงความหวังที่อยู่ในใจ
จากการทำวิจัยทำให้ชุมชนได้เรียนรู้เรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องของหญ้าทะเล และก่อให้เกิดการตื่นตัวของชุมชนได้ตระหนกถึงการอยู่ร่วมกันกับพะยูน นำมาสู่การอนุรักษ์อย่างมีส่วนร่วมของคนในชุมชนเพื่อลูกหลานในวันข้างหน้า
ดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)