ร้านค้าสารเคมีเกษตรยอดขายลด หลังกระแสแบนสารพิษเกษตร

ร้านค้าสารเคมีเกษตรยอดขายลด หลังกระแสแบนสารพิษเกษตร

เสนอรัฐให้เวลาเคลียร์สต๊อกและเยียวยา

ร้านค้าสารเคมีเกษตรต่างจังหวัดต่างยอมรับว่า การแบนสารพิษเกษตรที่กำลังมีการพิจารณาโดยคณะกรรมการวัตถุอันตรายเวลานี้ อาจส่งผลกระทบต่อการขายสินค้าในร้าน แต่หลายร้านก็ได้มีการเตรียมตัวกันมาบ้างแล้ว หลังจากมีกระแสข่าวการแบนสารฯ มาได้ระยะหนึ่ง

โดยร้านค้าสารเคมีเกษตรในจังหวัดบุรีรัมย์ บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา โดยเจ้าของร้านรายหนึ่งยอมรับว่า หลังมีกระแสที่จะยกเลิกใช้ 3 สารเคมี คือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ก็ทำให้ยอดขายลดลงกว่าร้อยละ 30 เนื่องจากร้านค้าปลีกรายย่อยไม่กล้าซื้อไปไว้จำหน่าย ส่วนเกษตรกรที่เคยมาซื้อไปใช้กำจัดวัชพืชก็ชะลอการซื้อ เนื่องจากต้องรอความชัดเจนจากมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย

ทางร้านกล่าวว่า แม้จะมีผลกระทบ แต่โดยภาพรวมก็ไม่ถือว่ามากนัก เนื่องจากไม่ได้สั่งสินค้ามาสต๊อกไว้เยอะอยู่แล้ว ก็จะสั่งมาไว้แค่พอขายเท่านั้น แต่จะกระทบโดยตรงกับเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ใช้มากกว่า ซึ่งจากการสอบถามเกษตรกรที่มาซื้อผลิตภัณฑ์ที่ร้านก็ยืนยันว่ายังจำเป็นต้องใช้สารเคมีดังกล่าวในการกำจัดวัชพืชอยู่ ซึ่งหากให้ยกเลิกใช้ก็ยังไม่รู้จะใช้ผลิตภัณฑ์อะไรไปทดแทน หรือหากจะต้องใช้แรงงานคนต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก

นางรัชนี เสรีสมแสน ผู้ประกอบการร้านบุรีรัมย์การเกษตรกล่าวว่า ในร้านก็มีผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นจำหน่ายอยู่แล้ว แต่เห็นใจเกษตรกรที่ยังจำเป็นต้องใช้สารเคมีดังกล่าวอยู่ และขณะนี้ภาครัฐเองก็ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องผลิตภัณฑ์ที่เกษตรกรจะใช้ทดแทนสารเคมีดังกล่าวได้ และหากมีจะราคาถูกหรือแพงกว่าเดิมหรือไม่ ก็อยากให้รัฐหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกร

ส่วนที่จังหวัดตรังที่เป็นพื้นที่ปลูกยางพาราเก่าแก่และขนาดใหญ่ของประเทศ นายวีระ ตระกูลรัมย์ ผู้จัดการ บริษัท ตรัง-มาเลเซีย เทคโนโลยีเกษตร จำกัด ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายปุ๋ยและเคมีเกษตรรายใหญ่ในพื้นที่กล่าวว่า หากมีมติออกมาว่าจะแบน ตนก็พร้อมจะปฏิบัติตาม เพราะข่าวมีมานานแล้ว ทางร้านก็มีการเตรียมพร้อม จึงมีสต๊อกไม่มากเพราะเตรียมการรับมือไว้แล้ว แต่ก็มีสต๊อกอยู่จำนวนหนึ่งเพื่อเอาไว้รองรับความต้องการใช้ของเกษตรกร ดังนั้น หากแบนจริง ควรให้เวลาร้านค้าต่างๆที่ยังมีสต๊อก และรัฐควรรับผิดชอบสินค้าในสต๊อกช่วยเหลือร้านค้า เพราะหากหยุดไปเลยในทันทีนั้น จะส่งผลต่อร้านค้าที่ได้สต๊อกสินค้าเอาไว้ และเกษตรกรที่ซื้อไปแล้วและเตรียมจะใช้อยู่แล้ว จึงน่าจะต้องมีเวลาเตรียมตัวสักระยะ

ในส่วนของร้านค้าที่สต๊อกสินค้าเอาไว้ ยังจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในสต๊อกตรงนั้น ภาครัฐควรจะมีการเยียวยาเรื่องนี้ด้วย เพราะว่าที่ผ่านมาทางรัฐบาลไม่ชัดเจนเองว่า จะแบนหรือไม่แบน ในขณะที่เกษตรกรชาวสวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน ยังต้องใช้ยาตัวนี้อยู่ ดังนั้น ก็ต้องสั่งเข้ามาเพื่อที่จะให้กับเกษตรกรที่ยังจำเป็นต้องใช้อยู่ในช่วงนี้ แต่ถ้าจะให้หยุดไปเลยในทันที ก็จะมีปัญหาในเรื่องของสินค้าคงคลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ร้านค้ายังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย เพราะไม่สามารถจะส่งคืนบริษัทได้ นายวีระกล่าว